รีวิวเที่ยวอังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ ไอร์แลนด์และไอร์แลนด์เหนือ 16 วัน 15 คืน ตอนที่ 1

อังกฤษอีกหนึ่งประเทศในฝันของใครหลาย ๆ คน ประเทศที่เป็นที่รู้จักกันดี อย่างน้อยถ้าถามว่าคิดถึงอังกฤษแล้วคิดถึงอะไร เชื่อว่าต้องนึกอะไรออกกันบ้าง…แมนยู ลิเวอร์พูล ลอนดอน แฮร์รี่ พอตเตอร์ อะไรก็ว่ากันไป ไกด์จำเป็นอย่างเราได้รับโจทย์ให้พาสมาชิกแก๊งค์เที่ยวซึ่งทุกคนเป็นเพื่อนเที่ยวกันมานาน อยากเปลี่ยนบรรยากาศเดินทางเก็บเส้นทางนี้ให้หมด ทั้งอังกฤษ เวลส์ สก็อตแลนด์ ไอร์แลนด์และไอร์แลนด์เหนือ (อืมมม…ถ้ามีมากกว่านี้จะทำยังไงกันดีค๊า) 🙂 คิดไปคิดมา วางแผนกันอยู่นานพอสมควรเพราะทุกคนก็เคยไปอังกฤษกันมาแล้ว จะทำยังไงให้ดูน่าสนใจ ในที่สุดลูกพี่มือโปรก็เคาะโปรแกรมสวย ๆ ออกมาให้ดูลงตัวที่ซู้ด เบ็ดเสร็จทั้งหมด 5 ประเทศ ขอแค่ 16 วันละกันนะคะ (ไม่นับวันเดินทาง) สมาชิกเราเซย์เยสสสส โนพลอบเบล็ม จัดไปตามสบาย ว่าแล้วโปรแกรมยำใหญ่ขนาดนี้ คนนั้นก็ไปชวนเพื่อน คนนี้ก็ไปชวนเพื่อน จากจะไปกันแค่ 10 กว่าคน เบ็ดเสร็จปิดตลาดที่ 30 คนค่ะ…อ่านไม่ผิด แก๊งค์นี้ใหญ่มากกกกก a1
หลังจากค้นหาข้อมูลอยู่พักใหญ่ เพิ่งจะมาถึงบางอ้อกับคำว่าสหราชอาณาจักร ที่ประกอบไปด้วย อังกฤษ เวลส์ สก็อตแลนด์ ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะบริเทนใหญ่ และไอร์แลนด์เหนือ ที่ตั้งอยู่บนเกาะไอร์แลนด์ รวมทั้งหมด 4 ประเทศ ส่วนประเทศไอร์แลนด์ ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับสหราชอาณาจักร เพียงแต่ตั้งอยู่บนเกาะเดียวกับไอร์แลนด์เหนือ สกุลเงินก็ต่างกัน สหราชอาณาจักรใช้เงินปอนด์ ส่วนไอร์แลนด์ใช้สกุลเงินยูโร (credit : lonelyplanet)map_of_englandสำหรับการขอวีซ่าสหราชอาณาจักรหรือที่เรา ๆ เรียกกันว่าวีซ่าอังกฤษก็สามารถเข้าออก 4 ประเทศนี้ได้ แต่ถ้าใครอยากไปไอร์แลนด์ (ตั้งอยู่บนเกาะไอร์แลนด์) ก็ต้องไปขอวีซ่าของไอร์แลนด์ต่างหาก (ไอร์แลนด์ไม่ได้รวมอยู่ในเชงเก้น) เกาะทั้ง 2 นี้ตั้งไม่ไกลกันแต่อาจจะยุ่งยากในการทำวีซ่าไอร์แลนด์เพิ่ม ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วจัดไปค่ะ
เวบไซต์ศูนย์รับคำร้องทำวีซ่าอังกฤษ VFS Global : http://www.vfsglobal.co.uk/thailand/thai/applicationcentre.html
อาคารเดอะ เทรนดี้ ซอยสุขุมวิท 13 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 (update Feb 2015)
uk1*หมายเหตุเพิ่มเติม ตั้งแต่วันที่ 18 พย 2013 เป็นต้นไป คนไหนที่มีวีซ่าอังกฤษแล้ว สามารถเดินทางเข้าไอร์แลนด์ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าไอร์แลนด์แล้วนะคะ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเดินทางเข้าอังกฤษก่อนที่จะเข้าที่ไอร์แลนด์ ถ้าใครจะเข้าไอร์แลนด์ก่อนจะข้ามไปอังกฤษ ก็ยังคงต้องยื่นวีซ่าไอร์แลนด์เพิ่มนะคะ
ข้อมูลเพิ่มเติมดูได้ที่ https://www.dfa.ie/irish-embassy/thailand/
ที่ตั้ง : สถานฑูตไอร์แลนด์ 208 ถนนวิทยุ ชั้น 12 ยูนิต 1201 ลุมพินี ปทุมวัน กรุงเทพ 10330
โทร: 02-016-1360
แฟกซ์ : 02-675-3933
อีเมล : irishembassythailand@dfa.ie

* ข้อมูลเพิ่มเติม ปัจจุบันสถานกงสุลไอร์แลนด์เปลี่ยนเป็นสถานฑูตแล้วค่ะ ทีนี้ถ้าใครขอวีซ่าก็จะใช้เวลาน้อยกว่าสมัยก่อน โดยเอกสารที่ต้องใช้สามารถตรวจสอบข้อมูลล่าสุดได้ที่เวบไซต์สถานฑูต และต้องกรอกผ่านทางออนไลน์เท่านั้น
ตามเวบไซต์นี้เลยค่ะ :https://www.visas.inis.gov.ie/AVATS/OnlineHome2.aspx หลังจากกรอกเสร็จเรียบร้อยแล้ว พิมพ์ออกมาแล้วก็เซ็นชื่อค่ะ
สำหรับค่าวีซ่า Single 3,100 บาท ถ้าเป็น Multiple 4,900 บาท วีซ่านักท่องเที่ยวอยู่ได้ไม่เกินครั้งละ 90 วัน

ช่วงที่เราไปสถานกงสุลที่เมืองไทยต้องส่งเรื่องไปที่มาเลเซีย ใช้เวลาประมาณ 2-3 อาทิตย์ ถึงจะได้รับวีซ่ากลับมา วีซ่าหน้าตาแบบนี้ค่ะ
irelandได้รับวีซ่าเรียบร้อย พร้อมออกเดินทางกันเลยค่ะ
ทริปนี้เราเดินทางกันวันที่ 25 เมษายน – 10 พฤษภาคม 2013  เหตุที่เลือกช่วงนี้เพราะอยากเลี่ยงช่วงสงกรานต์ และที่สำคัญช่วงนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้สวย อากาศกำลังสบายประมาณ 8-15 องศา พกเสื้อแจ๊กเก็ตไปไม่ต้องหนามาก ติดหมวกและผ้าพันคอไปด้วย แค่นี้ก็สบายแล้วค่ะ
วันเดินทางที่ 1 :
กรุงเทพ-อังกฤษ สมาชิกรีเควสขอไฟลท์เช้าและบินตรงเท่านั้น จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนเครื่อง และได้นอนพักคืนนึงก่อนเริ่มทริป จัดให้ตามคำขอค่ะ…บินตรงเลย มีให้เลือกไม่มาก ไม่การบินไทย British Airways ก็ EVA Air หลาย ๆ เหตุผลรวมกัน สุดท้ายก็ไปกับ EVA Air อีกครั้งค่ะเพราะมีหลายคนเลือกนั่งชั้น Deluxe Class ติดแค่ตรงตั๋ว Economy ได้น้ำหนักกระเป๋าโหลดแค่ 20 กก. เลือกของใส่กระเป๋ากันไม่ถูกเลยทีเดียว เครื่องบินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ (BKK) เวลา 12.50 น. และถึงสนามบินลอนดอนฮีธโธรว์ (LHR) เวลา 19.15 (เวลาที่อังกฤษช้ากว่าเรา 7 ชั่วโมง) ใช้เวลาบินประมาณ 13.30 ชั่วโมงค่ะ จิ๊บ ๆ (credit : evaair.com)
eva air777นั่งแล้ว กินแล้ว นอนแล้ว ดูหนังก็แล้ว ใกล้จะถึงยังน๊า แล้วแอร์ก็เดินเอาข้อสอบมาแจก..ใบ ต.ม. ค่ะ
ukในที่สุดก็มาถึงสนามบินลอนดอนฮีทโธรว์ (LHR) ชานกรุงลอนดอน ช่วงที่ผ่าน ต.ม. คนมากมายมหาศาล ป้าเลยไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ว่าแก๊งค์เรามากัน 30 คน พอจะมีช่องพิเศษให้ออกไปได้มั้ย…เจ้าหน้าที่น่ารักมาก จัดให้เรียบร้อย ช่วงที่ผ่าน ต.ม. มีสแกนนิ้วอีกครั้ง เหมือนตอนที่เราไปทำวีซ่าค่ะ ไม่ยุ่งยากอะไร มีแค่ ส.ว.บางท่าน ลายนิ้วมือละลายหายไปหมดแล้วก็ต้องใช้เวลากันหน่อย เสร็จขั้นตอนนี้ก็ออกมารับกระเป๋ากันด้านนอก เดินออกมาเจอคนขับรถโค้ชที่มารอรับแล้วก็ไปส่งที่พักคืนนี้ Hotel Crowne Plaza Heathrow London ใกล้สนามบิน พักเอาแรงยืดเส้นยืดสาย พร้อมลุยต่ออีกครึ่งเดือนที่เหลือ ฟังดูแล้วนานมากกก…

วันเดินทางที่ 2 : สโตนเฮ้นจ์-บาธ-บริสทอล (Stonehenge – Bath – Bristol)

ตื่นเช้ามาหน้าตาสดชื่น ข้อดีของการบินไกล ๆ และได้นอนพักก่อนหนึ่งคืน ไม่งั้นถ้าบินออกกลางคืนถึงเช้าแล้วเที่ยวเลย ต้องบอกว่าซอมบี้ขอเรียกพี่เลย ทานอาหารเช้าที่โรงแรมแล้ว ก็ออกเดินทางไปเมือง Salisbury ตั้งอยู่ทางตะวันตกของกรุงลอนดอน ซึ่งเป็นที่ตั้งของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง ไม่ต้องใบ้ก็คงจะรู้กันอยู่แล้วใช่มั้ยคะ นั่นก็คือ…สโตนเฮ้นจ์ (Stonehenge) (credit: worldatlas.com)d84
สโตนเฮ้นจ์ (Stonehenge) หรือกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางทุ่งราบกว้างใหญ่ในมณฑลวิลต์เชอร์ (Wiltshire) ห่างจากตัวเมือง Salisbury แค่ 13 กม. ก่อนจะไปเที่ยวที่นี่ต้องบอกว่าจินตนาการไว้ใหญ่มากกก ก็แหมเป็นถึงสิ่งมหัศจรรย์ของโลก จะมาเล็ก ๆ ได้ยังไง เคยมาเมื่อนานมาแล้ว ซื้อทัวร์จากลอนดอนมาเที่ยวกับน้องสาว พอรถเข้าใกล้ก็จะมองเห็นมาแต่ไกลว่าอยู่ในทุ่งกว้าง ก็ชี้ชวนให้น้องดู น้องบอกว่าไม่ใช่ม้างงง อันนี้น่าจะจำลอง ><
a4จากจุดจอดรถก็เดินไปเรื่อย ๆ จะมีจุดที่เจ้าหน้าที่เก็บตั๋วแล้วก็จะเป็นทางเดินไปหากลุ่มแท่งหินนี่แหละค่ะ จริง ๆ ถ้าเดินรอบนึงใช้เวลาเบ็ดเสร็จก็ประมาณ 1 ชั่วโมงสบาย ๆ ร้านขายของที่ระลึกก็ตั้งอยู่เลยจุดเจ้าหน้าที่เก็บตั๋วมานิดค่ะa5
สโตนเฮ้นจ์ แปลตามตัวเลยว่า หินที่แขวนอยู่ สร้างเมื่อไหร่ ใครสร้างไม่มีหลักฐานแน่ชัด ได้แต่ประมาณกันไปว่าน่าจะ 4,000-5,000 ปีมาแล้ว เป็นกลุ่มแท่งหิน 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง โดยด้านในสุดเป็นรูปเกือกม้า บ้างก็นอน บ้างก็ตั้ง บ้างก็ซ้อนกัน แต่ละก้อนหนักประมาณ 30 ตันเท่านั้น ส่วนหินที่วางซ้อนอยู่ด้านบนหนักราว ๆ 6-7 ตัน แท่งหินสูงสุดเพียง 6 เมตร นักโบราณคดีคาดว่าหินพวกนี้ที่เรียกว่าหิน Sarsen น่าจะนำมาจากทุ่ง Marlboro Downs ซึ่งอยู่ห่างออกไป 32 กิโลเมตร เพราะหินแบบนี้ที่ทุ่ง Salisbury ไม่มีหินแบบนี้ นึกถึงสมัยนั้นเครื่องทุ่นแรงอะไรก็ไม่มี พี่เอามากันยังไงคะa2
จุดประสงค์ในการสร้าง บ้างก็ว่าเป็นซากปรักหักพังของวิหารของพวกชาวโรมันที่เข้ามาอังกฤษก่อนคริสตกาล บ้างก็ว่าใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา บูชาพระอาทิตย์ บูชาพระจันทร์ บูชายัญมนุษย์ ไม่ก็ว่าเป็นที่ประกอบพิธีศพ ก่อนนำร่างไปฝังในสุสาน หรือไม่ก็ว่าเป็นปฎิทินโบราณเพราะตำแหน่งการวางก้อนหินต่าง ๆ ตรงกับการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ในวันสำคัญต่าง ๆ ของปีอย่างแม่นยำ โดยแต่ละปีจะมีการจัดพิธีคริษมายัน อยู่ในช่วงระหว่างวันที่ 20 กว่า ๆ ของมิถุนายน ขึ้นอยู่กับแต่ละปีว่าวันไหนมีกลางวันยาวนานที่สุด และจะอนุญาตให้เข้าไปทำพิธีด้านในได้a6a3
หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางต่อไปเมืองบาธ (Bath)  เมืองมรดกโลกเก่าแก่มีอายุกว่า 2,000 ปีทีเดียว เมืองนี้เป็นเมืองไม่ใหญ่มาก แต่ที่แน่ ๆ คือทุกเมืองของอังกฤษมีที่ให้ช้อปปิ้งได้ ไม่ต้องห่วง ร้าน M&S มีพอๆ กับ 7-11 บ้านเราค่ะ เว่อร์ไปมั้ย 555 และเราก็แวะชมตึกสวย ๆ ที่เมืองบาธ (Bath) กันก่อน นั่นคือ The Royal Crescent และ The Circle ผลงานของสุดยอดสถาปนิกตระกูล Wood
The Royal Crescent ตึกลักษณะรูปครึ่งวงกลม อายุเกือบ 300 ปี เป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน 30 หลัง ใช้เวลาสร้าง 7 ปี (1767-1774) ผลงานการออกแบบของลูกชายจอห์น วูด มีสนามหญ้าThe Royal Victoria Park ตั้งอยู่ด้านหน้า สวยงามติด 1 ใน 10 สุดยอดตึกเก่าในอังกฤษ เหตุผลที่สร้างเพื่อให้เป็นธีมผลงานเดียวกับพ่อที่สร้าง The Circle อาคารรูปวงกลมที่อยู่ถัดไป (credit: http://www.city-data.com)
bath1The Circle ขออนุญาตยืมรูปมาลงให้ดู จะได้เห็นได้ชัด ๆ เพราะถ่ายเองคงไม่สามารถจริง ๆ ตึกวงกลมนี้ผลงานของจอห์น วู้ด ใช้เวลาสร้าง 14 ปี (ค.ศ.1754-1768) เป็นตึกโค้งสไตล์โรมัน 33 หลัง แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนละ 11 หลัง มีต้นไม้ใหญ่กลางวงเวียนเป็นจุดศูนย์กลาง (credit:www.jonhwoodelder.co.uk)
circus_1ถ่ายเองก็ได้แค่นี้ค่ะa7
ช่วงบ่ายเราจะไปเที่ยวโรมันบาธ  (Roman Bath) หรือที่เรียกว่าโรงอาบน้ำของชาวโรมัน ซึ่งเป็นสถานที่อาบน้ำแร่ตั้งแต่ยุคโรมัน คิดดูว่าอาณาจักรโรมันยิ่งใหญ่เกรียงไกรแค่ไหน ถึงตีมาไกลได้ถึงอังกฤษ ที่นี่มีน้ำแร่ร้อนตามธรรมชาติกว่า 40 องศา ไหลมาตลอดไม่ต่ำกว่า 1 ล้านลิตรต่อวัน และได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1987 ลงจากรถแล้ว ระหว่างทางก่อนถึงโรมันบาธที่เห็นคือ Bath Abbey สร้างมาตั้งแต่สมัยแองโกล แซกซัน ในปี ค.ศ. 757 ถูกทำลายและสร้างขึ้นมาใหม่หลายครั้ง เป็นโบสถ์นิกาย Church of England ตกแต่งเรียบ ๆ ไม่เน้นการประดับประดามากมายนัก ใครมีเวลาก็สามารถขึ้นบันได 212 ขั้นบนหอคอยเพื่อชมวิวได้a8
เมื่อกองทัพโรมันเข้ามารุกรานเกาะอังกฤษในช่วงต้นคริสตกาล ก็ได้เข้ายึดพื้นที่แถบนี้ ในช่วงศตวรรษที่ 1 หลังจากพบเจอว่าบริเวณนี้มีแหล่งน้ำพุร้อนผุดขึ้นมาจากใต้ดินก็ได้สร้างโรงอาบน้ำแบบโรมันขึ้นมา (Roman Bath) โดยตั้งชื่อเมืองว่า Aquae Sulis ตามชื่อเทพธิดาน้ำ Sulis Minerva เทพเจ้าที่มีอำนาจในการรักษาโรค เทียบได้กับเทพีอธีนา ในตำนานกรีก
ในอดีตผู้คนเชื่อว่าเป็นปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา เป็นน้ำพุร้อนศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนเข้ามาเพื่อมาขอพร หรือเชื่อว่าสามารถรักษาโรคให้หายได้ นอกจากนี้ยังได้มีการสร้างวิหารถัดไปจากโรงอาบน้ำเพื่ออุทิศให้กับเทพธิดาน้ำ ในยุคนั้นมีคนในเมืองนี้แค่ 1-2 พันคนเท่านั้น

a10
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 4 Roman Bath และวิหาร Sulis Minerva ก็ได้ถูกขยายต่อเติมออกไปมาก เพื่อรองรับผู้เข้ามา ทำให้ช่วงนั้น Roman Bath เต็มไปด้วยสีสัน หลังจากที่พวกโรมันจากไปก็ได้ทิ้งร้างไว้เป็นเวลาหลายร้อยปี เหลือเพียงซากปรักหักพังทับถมอยู่ใต้พื้นดิน ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 12 ได้มีการสร้าง King’s Bath คร่อม ในศตวรรษที่ 18 ได้มีการขุดซากปรักหักพัง จนได้พบเจอกับความใหญ่โตมโหฬารของ Roman Baths และได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่โดยพยายามที่จะคงรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเดิม โดยปัจจุบันซากอาคารเก่าก็ยังคงได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดี และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว เราจะเดินเที่ยวชมโรงอาบน้ำ แต่ละจุดจะมีป้ายอธิบายเรื่องราวความเป็นมา โดยเริ่มจากด้านบน ลงข้างล่าง บางจุดจะมีที่ให้เราชิมน้ำแร่ด้วยนะคะ รสชาติเฝื่อน ๆ แต่มาถึงทั้งที เห็นคนชิมกัน ก็ขอชิมบ้าง เดี๋ยวจะเสียเปรียบ 555 และสุดท้ายเจอกับดักเหมือนเดิมคือร้านขายของที่ระลึกค่ะ สินค้าขึ้นชื่อที่นี่เป็นพวกสบู่ ครีมอาบน้ำa9
The Great Bath บ่อน้ำกลางของ Roman Bath ลึก 1.6 เมตร รอบ ๆ จะมีทางลงให้ชาวโรมันได้ลงไปแช่น้ำกัน เพื่อเป็นที่พบปะหรือเจรจาธุรกิจกัน โดยในสมัยนั้นสามารถนำโต๊ะตัวเล็ก ๆ ลงไปสำหรับวางของว่างและเครื่องดื่มได้ น้ำในสระเป็นสีเขียวหม่น ๆ เกิดจากปฎิกิริยาทางเคมีกับหินพื้นบ่อ เมื่อหลายสิบปีก่อนอนุญาตให้คนลงไปเล่นในสระได้ แต่มีคนลงไปแล้วติดเชื้อและเสียชีวิตหลังจากนั้นไปกี่วัน ทำให้ต้องออกกฎห้าม และไม่ควรเอามือลงไปจุ่มนะคะ ร้อนแน่นอน เราสามารถมองเห็นควันร้อนลอยตลอดเวลา พิสูจน์ด้วยตาอย่าด้วยมือก็พอมังคะa11a13The Terrace จุดริมระเบียง ได้สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1897 เมื่อได้มีการบูรณะและได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม ริมระเบียงชั้นสองนี้จะมีรูปปั้นของผู้ปกครองจากโรมัน จักรพรรดิ์ต่าง ๆ เช่นจูเลียส ซีซาร์, จักรพรรดิ์ Constantine มหาราช
a12ลงมาชมด้านล่างและฝนก็ตกปรอย ๆ สมกับเป็นอังกฤษจริง ๆ ฝนตกตลอดเวลาa14เข้าไปชมด้านใน มีโมเดลจำลองให้เห็นถึงส่วนต่าง ๆ ของอาคารในอดีตa15ชิ้นส่วนที่หลงเหลืออยู่ของ The Temple หรือวิหารของเทพี Sulis Minerva หรือเทพธิดาแห่งน้ำ เป็นสถานที่นักบวชมาทำพิธีกรรมเพื่อแสดงความเคารพสักการะแด่เทพเจ้า เป็นที่ประดิษฐานเทพี Sulis Minerva ด้านหน้าจะมีเสาหินโรมัน 4 แท่ง สูง 15 เมตร และมี The Gorgon’s head ที่ได้ขุดเจอเมื่อปี ค.ศ. 1790 เป็นชิ้นส่วนที่สำคัญเพราะเป็นรูปสลักหน้าอาคาร The Temple ตรงนี้เหลือชิ้นส่วนไม่กี่ชิ้นแต่ได้มีการใช้เลเซอร์แสดงภาพขึ้นมาเพื่อให้เราได้เห็นว่าในอดีตบริเวณส่วนนี้จะเป็นอย่างไรa16
Heated Room หรือห้องอบร้อน แสดงถึงวิธีการตามแบบฉบับโรมันโบราณ ภายใต้พื้นจะมีเสาตั้งเรียง อยู่เป็นจำนวนมากเพื่อรองรับแผ่นพื้นซึ่งทำให้มีช่องว่างใต้พื้นเพื่อให้ อากาศร้อนที่เกิดจากการเผาถ่านสามารถไหลเวียนเข้าไป ทำให้พื้นและผนังห้องมีอุณหภูมิสูงขึ้น ส่วนควันไฟที่เกิดจากการเผาถ่านก็จะไหลเวียนออกไปทางหลังคา และด้านในก็ยังมีบ่อน้ำต่าง ๆ อย่างบ่อน้ำสีเขียวมรกต หรือ Cold Plunge เป็นทรงกลมขนาดใหญ่ เป็นบ่อน้ำเย็นสำหรับให้แช่หลังจากออกจาก Heated room มาแล้ว เพื่อเป็นการปรับอุณหภูมิในร่างกายa17รูปปั้นของเทพี Sulis Minerva
a18a19a20ภาพแสดงความยิ่งใหญ่ของโรมันบาธในสมัยก่อน ตอนที่ขุดพบเจอซากโรมันบาธ มีการพบซากศพโรมันมากมาย รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับ คำจารึกโรมัน พื้นโรงอาบน้ำโมเสก ทำให้เชื่อกันว่ามีผู้คนได้อาศัยอยู่ที่นี่แล้วก็ตายที่นี่a21
ที่โรมันบาธมีน้ำไหลเฉลี่ยราว ๆ 1.17 ล้านลิตรหรือ 240,000 แกลลอนทุกวัน เป็นแบบนี้มาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว จุดนี้จึงได้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นโรงอาบน้ำ การควบคุมการไหลของน้ำดำเนินการโดยวิศวกรชาวโรมันตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 สมัยนั้นคนอังกฤษเทียบไม่ได้เลยกับความเก่งกาจของพวกโรมันค่ะ วิศวกรได้สร้างเขื่อนกำแพงหินรอบ ๆ บ่อน้ำพุร้อนเพื่อที่จะจ่ายให้น้ำไหลเข้าสู่โรมัน บาธ ส่วนน้ำที่เอ่อล้นก็จะไหลผ่านท่อเพื่อให้ไหลลงสู่แม่น้ำ Avona22หลังจากเสร็จภารกิจในการชมโรงอาบน้ำ เลี้ยวซ้ายไปแหล่งช้อปปิ้ง เลี้ยวขวาไปชมสะพานพัลเทอร์นี่ (Pulteney Bridge) เป็นสะพาน 1 ใน 4 ของโลกที่มีร้านค้ากลางสะพาน ติ๊กต็อกติ๊กต็อก….เลี้ยวขวากันก่อนนะคะ ทำภารกิจท่องเที่ยวให้เสร็จเดี๋ยวค่อยมาสำรวจร้านกันทีหลัง ^^a23ระหว่างทางเดินไปสะพาน ใช้เวลาเดินจริง ๆ ไม่น่าเกิน 10 นาทีค่ะ แต่ที่เราเดินคิดว่าเกิน มัวแต่ถ่ายรูป
a24a25
เดินไปเดินมา อ้าวถึงสะพานซะแล้ว ถ้าไม่เดินย้อนกลับไปดูมาจากอีกมุมนึง เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครรู้หรอกค่ะว่าเป็นสะพาน นึกว่าเป็นถนนมากกว่า สะพานเก่าแก่แห่งนี้สร้างมาตั้งแต่ยุค Georgian โดยสถาปนิกชื่อ Robert Adam ใช้เวลาสร้าง 4 ปี แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1774 มีความยาว 30 เมตร ส่วนชื่อสะพานได้มาจากสกุลของสามีภรรยา William และ Frances Pulteney ผู้บริจาคที่ดินริมฝั่งแม่น้ำ Avon นี้a26a28
มองลงไปแม่น้ำด้านล่าง ตรงนี้เรียกว่า Pulteney Weir เป็นฝายกั้นน้ำที่ค่อย ๆ ให้น้ำไหลลงไปช้า ๆa27
เดินย้อนกลับไปที่ตลาดขายของ ที่เมืองนี้ไม่ได้ใหญ่มากค่ะ มีขายพวกข้าวของเครื่องใช้จิปาถะ ของกินทั่วๆ ไป แต่เอ๊ะ! มี 2 ท่านนี้มารอรับเราด้วยหรอเนี่ย หลังจากนั้นก็แยกวงช้อปปิ้ง ทางใครทางมัน ตามสบายค่าa29มื้อเย็นแวะร้านอาหารชื่อดัง Sally Lunn’s ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ขึ้นชื่อเรื่องขนมปังหรือจะลอง afternoon tea ก็ได้นะคะ ส่วนเราก็เป็นซุป Main course ของหวาน ตามสูตร รีบกันนิดเพราะต้องเดินทางอีก 1 ชั่วโมงไปเมืองบริสทอล คืนนี้พักที่ Hotel Marriott City Bristol ไม่ต้องงงว่ารูปอยู่ไหน หาไม่มีเลยค่ะ สงสัยไม่ได้ถ่ายมาเหมือนเดิมa30
วันเดินทางที่ 3 : คาร์ดิฟ (ประเทศเวลส์)
เช้านี้จะเดินทางข้ามพรมแดนสู่เมืองคาร์ดิฟ (Cardiff) เมืองหลวงของเวลส์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะบริเทนใหญ่ (Great Britain) โดยทางทิศตะวันออกติดกับอังกฤษ และทางใต้ติดกับช่องแคบบริสทอล สะพานที่ข้ามระหว่างอังกฤษและเวลส์คือ สะพาน The Second Severn Crossing ข้ามแม่น้ำ Severn เริ่มเปิดให้บริการเมื่อปี 05 มิถุนายน 1996 เพื่อเป็นการระบายการจราจรที่แออัดของสะพาน Severn Bridge ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1966 ระยะทาง 5.1 กม. ใช้เวลาสร้าง 4 ปีค่ะ

ข้อมูลที่น่าสนใจ ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาและชายทะเล ภูเขาสูงที่สุดในสหราชอาณาจักรก็ตั้งอยู่ที่นี่ชื่อ Snowdon สูง 1,085 เมตร ถ้าเทียบกับยุโรปโซนอื่น ๆ ต้องบอกว่าไม่สูงเลยค่ะ คนอังกฤษเลยมักจะหนีไปเล่นสกีที่ฝรั่งเศสหรืออิตาลีกัน

เวลส์มีประชากรประมาณ 3 ล้านคน แบ่งเป็น 6 มณฑล มีปราสาทกว่า 641 ปราสาท ซึ่งมากกว่าประเทศไหน ๆ ในยุโรป เปรียบได้ว่าเมื่อมาเที่ยวเวลส์แล้วเหมือนได้กลับเข้าไปสู่ยุคในอดีตจริง ๆ ที่เต็มไปด้วยปราสาท ความเร้นลับ และมังกร มีแกะ 11 ล้านตัว นับกันยังไงช่วยบอกที…แอบนึกถึงหนังเรื่อง Game of Throne

เช้านี้จะไปเข้าชมปราสาทคาร์ดิฟ (Cardiff Castle) ที่มีประวัติเก่าแก่กว่า 2,000 ปี เดิมเป็นที่พำนักของขุนนางผู้ปกครองเมือง ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงโบราณ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลยค่ะ รับรองไม่หลงแน่ ๆ ไกด์ท้องถิ่นมารอต้อนรับ พร้อมอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟังa32
คนเวลส์พูดภาษาเวลส์ (Welsh) และภาษาอังกฤษ ภาษาเวลส์นี่ถือว่าเป็นหนึ่งในภาษาที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปและเป็นภาษาราชการ มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ปัจจุบันก็ได้มีการสนับสนุนให้คนเวลส์พูดภาษาท้องถิ่นของตัวเองมากขึ้น แม้จะมีคนพูดได้แค่เพียง 19% ของประชากรทั้งหมดก็ตาม เช่น Good morning ในภาษาเวลส์คือ Bore da หรือ Welcome คือ Cymru, Thank you คือ Diolch ช่างไม่ใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อยa41a33
ปราสาทคาร์ดิฟและกำแพงเมืองถูกสร้างขึ้นมาราว ๆ 2,000 ปีที่แล้ว เริ่มจากยุคโรมันที่ได้สร้างป้อมปราการที่เรียกว่า Norman Keep ไว้คอยดูข้าศึกศัตรู ตอนหลังได้ถูกใช้เป็นคุกหลวง เคยขังบุตรชายดยุคแห่งนอร์มังดีซึ่งตอนนั้นรบแพ้อังกฤษและก็ได้เสียชีวิตที่นี่ ต่อมาได้มีการสร้างปราสาทแบบยุคกลาง เป็นที่อยู่ของพวกขุนนาง จนตระกูลสุดท้ายที่ครองปราสาทคือตระกูล Bute ซึ่งได้มาจากการสมรส และก็ได้ต่อเติมปราสาทจนใหญ่โตอลังการ สุดท้ายได้มอบให้เป็นสมบัติของชาติเมื่อปี ค.ศ.1947 เพื่อทำเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนรุ่นหลัง ๆ อย่างเราได้เข้าชมค่ะa34
เข้ามาชมด้านในกันค่ะ ด้านในแบ่งเป็นส่วน ๆ เหมือนปราสาททั่ว ๆ ไป ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องสมุด ห้องครัว ตกแต่งด้วยภาพของครอบครัวเจ้าของปราสาทแต่ละรุ่น แต่ที่ดูน่าสนใจจะเป็นรูปปั้นเล็ก ๆ บนฝาผนังที่มีเรื่องราวแตกต่างกัน ทั้งศาสนาหรือวิถีชีวิตคนในยุคนั้นa35a36a39a40ห้องโถงและห้องสมุดa37a38
เดินชมด้านในเสร็จเรียบร้อย ก็ออกมาพิชิตหอคอยด้านนอกกันต่อ ทางเดินขึ้นแคบและชัน ยิ่งช่วงโค้งสุดท้ายเป็นเลนวันเวย์ ต้องเตรียมพลังขาและพลังใจกันหน่อยค่ะa42
เนียน ๆ นั่งพัก (หอบ) แป๊ปa43
วิวจากด้านบนa44a46a45
ไต่บันไดลงมาด้านล่าง say goodbye ปราสาทมังกรกันค่ะa31
ภารกิจต่อไปคือสำรวจตลาด สามารถเดินข้ามจากปราสาทคาร์ดิฟมาได้ นิดเดียวก็ถึงแล้วค่ะ มาเที่ยวต่างบ้านต่างเมืองการได้มีโอกาสเดินตลาดทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิตคนท้องถิ่นอย่างแท้จริง เห็นธงเวลส์แล้ว เจ้ามังกรที่โดดเด่นสีแดงนี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นนักรบผู้เก่งกาจ ต้องย้อนไปในสมัยพ่อของพระเจ้าอาเธอร์ คือพระเจ้าอูเธ่อร์ เพนดรากอน ได้ฉายาว่าเป็นหัวหน้ามังกรเพราะเป็นนักรบที่เก่งกาจ มีอำนาจมาก แถมยังทำนายไว้ว่าตัวเองจะได้ครองบัลลังก์ เพราะมังกรสีแดงจะมีชัยชนะ ตัวมังกรสีแดงคือฝั่งเวลส์ มังกรสีขาวคือฝั่งอังกฤษ แม้แต่ในยุคของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ก็ได้กำหนดให้มังกรของเวลส์เป็นสัญลักษณ์ของกองทัพ และในปี ค.ศ.1959 สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธก็ได้กำหนดให้มังกรแดงอยู่บนธงชาติเวลส์มาจนทุกวันนี้a47
ตลาดคาร์ดิฟ ดูสะอาดสะอ้าน จัดเป็นระเบียบเรียบร้อย เดินแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะมีปีเตอร์หรือมิคกี้เม้าส์วิ่งผ่าน มีทั้งชีส ผลไม้ ของสด ขนม ของใช้ เสื้อผ้า a48a49a51
เดินกลับไปขึ้นรถโค้ชตรงปราสาท ช่วงบ่าย ๆ จะไป St. Fagans National History Museum หรือพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ของชาติเซนต์ฟากันส์a50พิพิธภัณฑ์นี้เป็นที่เรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวเวลส์ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน เปิดให้เข้าชมฟรีค่ะ ตั้งแต่ปี 1948 บริเวณที่ดินนี้เคยเป็นปราสาทและสวนหรูหรามาก่อน ต่อมาท่าน Earl of Plymouth ได้บริจาคที่ดินทั้งหมดเพื่อให้เป็นพิพิธภัณฑ์แก่ชาวเวลส์ ข้อมูลเพิ่มเติมดูได้ที่ https://museum.wales/stfagans/a52พื้นที่ค่อนข้างกว้าง ค่อย ๆ เดินบริหารขากันต่อนะคะ มีทั้งร้านค้าสมัยก่อน ร้านขายของน่ารักกิ๊บเก๋ ฟาร์ม โรงเรียน บ้าน ซึ่งบางหลังก็ขุดของจริงที่ยังหลงเหลืออยู่มาตั้งให้ดูกันเป็น ๆ ของดีของเก่า คุณค่าที่ควรอนุรักษ์ไว้จริง ๆ ไม่อย่างนั้นคนรุ่นเรา ๆ ก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นa57a56แกะก็มีa55
วันนี้เที่ยวจนหมดแรง เดินทางกลับบริสทอลที่พักเมื่อคืนค่ะ ยังมีภารกิจตะลุยเกาะอังกฤษกันต่อ

วันเดินทางที่ 4 : เชสเตอร์ – ลิเวอร์พูล
เช้าวันอาทิตย์ช่างเงียบเหงาจริง ๆ ทานข้าวเสร็จก็ออกจากเมืองบริสทอลเดินทางต่อไปยังเมืองเชสเตอร์ (Chester) ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับไก่เชสเตอร์ กริลล์บ้านเรานะคะ เมืองนี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ ในมณฑล Cheshire บนฝั่งแม่น้ำดี (DEE) ใกล้ ๆ กับชายแดนเวลส์ มีประชากรประมาณ 328,000 คน เป็นเมืองที่มั่นสำคัญสมัยโรมันโบราณ มีศิลปะของโรมันเหลือให้เห็นไปทั่วa54
มาถึงเมืองเชสเตอร์ (Chester) กันแล้ว เดี๋ยวไปเดินเล่นในเมืองกันค่ะa61
สัญลักษณ์คู่ประเทศอังกฤษa59ในเมืองยังคงมีซากปรักหักพัง และยังมีกำแพงรอบ ๆ เมืองคล้ายกับเชียงใหม่ เพื่อป้องกันเมือง แต่กำแพงบางส่วนก็ได้ถูกทำลายลงเพื่อการขยายเมือง ที่เหลือปัจจุบันก็ประมาณแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ในอดีตเมืองนี้ถือว่าร่ำรวยมากแต่ได้เสื่อมลงเนื่องจากตะกอนทับถมจนน้ำตื้นเขิน การขนส่งจึงย้ายไปเมืองท่าที่ใหญ่กว่านั่นก็คือเมืองหงส์แดง ลิเวอร์พูล เดินเที่ยวในเมืองไม่หลงแน่ ๆ เดินไปตามทาง ตามคนไปเรื่อย ๆ ค่ะ

a58ตึกแบบนี้เรียกว่าตึกแบบทิวดอร์ (Tudor Revival) เกิดขึ้นในยุคของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิวดอร์ ลักษณะเด่นคือตัวบ้านเป็นโครงสร้างไม้ อาจจะเป็นไม้สนหรือไม้โอ๊คผ่าซีก ทาน้ำมันสีดำเพื่อให้ทนทานต่อสภาพอากาศ เพราะอังกฤษเป็นประเทศที่สภาพอากาศแปรปรวนจริง ๆ ค่ะ แล้วก็พอกด้วยดินเหนียว ทาทับด้วยปูนขาว ทำเป็นช่อง ๆ ตารางบ้าง สามเหลียมบ้าง สี่เหลี่ยมบ้าง ตามความพึงพอใจ เอกลักษณ์แบบนี้บางทีก็เรียกว่า Black and White Effect  ดูไปคล้าย ๆ ใคร หยิบเอาบ้านเรือนที่เยอรมันมาตั้งไว้ที่นี่a60a64นาฬิกาที่เป็นสัญลักษณ์ของเมือง The Eastgate Clock เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ เพื่อเฉลิมฉลองพระนางวิคตอเรียอายุครบ 60 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1897 และกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ เค้าว่ากันว่าเป็นนาฬิกาที่มีคนถ่ายรูปเยอะมากที่สุดรองจาก Big Ben  ส่วนร้านช้อปปิ้งก็มีตลอด 2 ข้างทาง ต้องบอกว่าเป็นเมืองจิ๋วแต่แจ๋ว น่าเที่ยวอีกเมืองค่ะa63a62
a65นาฬิกาจากมุมด้านบนa66Chester Cathedral โบสถ์ที่มีอายุนับพันปี ตั้งอยู่ใจกลางเมืองa67a68
หลังทานอาหารกลางวันกันเสร็จ ก็ร่ำลาเมืองเชสเตอร์ (Chester) เดินทางต่อไปยังเมืองลิเวอร์พูล (Liverpool) ใช้เวลา 1 ชั่วโมง เมืองนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ ในมณฑล Merseyside บนปากแม่น้ำเมอร์ซีย์ อดีตเมืองท่าที่สำคัญ ปัจจุบันกลายเป็นเมืองหงส์แดงของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลที่โด่งดังและวงเดอะบีทเทิลส์ที่เป็นตำนานดนตรีมาจนทุกวันนี้  บริเวณนี้คือ Albert Dock ฟ้ามืดมาเชียว…ฝนกำลังจะตกแว้ววว แงa69a71a70
ลิเวอร์พูลเป็นเมืองที่มีสถาปัตยกรรมสวยงาม ซึ่งในปี 2004 หลายบริเวณในตัวเมืองได้รับฐานะให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ เรียกว่าเมืองการค้าทางทะเลลิเวอร์พูล (Liverpool Maritime Mercantile City) อย่างบริเวณ Pier Head, Albert Dock ในปี ค.ศ. 2007 เมืองลิเวอร์พูลได้มีการฉลองครบรอบ 800 ปี ที่ก่อตั้งมาและในปี ค.ศ. 2008 ลิเวอร์พูลก็ได้รับตำแหน่งเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรปพร้อมกับเมืองสตราวันเจอร์ (Stavanger) ประเทศนอร์เวย์อีกด้วยa73
เมืองนี้มีประชากรมากเป็นอันดับ 5 ของอังกฤษ โดยมีประชากรทั้งหมด 436,000 คน ผู้คนที่มาจาก Liverpool เรียกว่า Liverpudlians หรือ Scouse สเกาส์ จริง ๆ คืออาหารท้องถิ่นที่นี่ก็คล้าย ๆ สตู และยังใช้เรียกสำเนียงท้องถิ่นที่นี่ เนื่องจากลิเวอร์พูลเป็นเมืองท่า ทำให้ประชากรของลิเวอร์พูลมีความแตกต่างกันทางเชื้อชาติที่มาจากที่ต่าง ๆ ส่วนชื่อเมือง Liver อ่านว่า ไล-เฝอ หมายถึงนกชนิดหนึ่ง (บ้างก็ว่าเป็นนกกาน้ำ) ทำรังบริเวณท่าเรือเมืองนี้ ชอบคาบสาหร่ายทะเล (Laver) และใช้เป็นส่วนประกอบในการทำรัง เรียกเพี้ยนไปมาจาก laver เป็น Liver และ Pool แปลว่า น้ำ เพราะเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ รวมกันออกมาก็เป็นลิเวอร์พูล ตรงเป๊ะa75
เดินจากท่าเรืออัลเบิร์ต เพื่อไปชมอาคารเก่าแก่ 3 หลัง ที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองลิเวอร์พูล เรียกว่า The Three Graces ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือ หรือ The Pier Head อาคารที่ว่าประกอบไปด้วย Royal Liver Building, The Cunard Building, The Port of Liverpool Building ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกที่เป็นเมืองการค้าทางทะเล
a77a76
บริเวณริมน้ำนี้ก็ตึกเก่าสวย ๆ เยอะ รวมถึงรูปปั้นคนสำคัญต่าง ๆa78a79
เดินกลับมาบริเวณท่าเรืออัลเบิร์ต กลุ่มอาคารอิฐสีแดง ที่สร้างเสร็จในปี 1846 เพื่อใช้เป็นท่าเรือและโกดังเก็บสินค้าอันทันสมัย แต่ผลพวงจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ท่าเรือแห่งนี้ต้องปิดตัวลงในปี คศ 1972 กระทั่งบริษัท Merceyside Development ได้เข้ามาบูรณะอดีตท่าเรือ ถึงได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ปัจจุบันเป็นร้านอาหาร ร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก พิพิธภัณฑ์ สำหรับคนที่ชื่นชอบวง The Beatles เราไม่ได้เข้าชมค่ะ แต่ถ้าใครอยากได้ของที่ระลึก สามารถเข้าไปซื้อได้นะคะa74a80ถ้าใครอยากจะข้ามไปช้อปปิ้งที่ห้าง Liverpool one ก็เพียงแค่ข้ามถนนไปค่ะ โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้มีโปรแกรมจะเยี่ยมชมสนามหงส์ ก็สามารถหาซื้อของทีมลิเวอร์พูลได้ที่ร้านขายของที่ระลึกในห้างนี้ นอกจากนี้ยังมีร้านพวกแบรนด์ของอังกฤษเยอะแยะมากมายa81
ช้อปปิ้งเรียบร้อยเรามีโปรแกรมไปนั่งเรือเป็ดน้อยชมรอบเมืองลิเวอร์พูล และแล้วฝนก็กระหน่ำลงมาไม่หยุด ผลลัพธ์คือไม่มีรูปเลยค่ะ กลัวกล้องจะเปียก แถมตอนขึ้น/ลง เป็ดน้อย นางแบบก็เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำ หมดกัน แต่ทัวร์นี้ต้องบอกว่าน่าสนใจนะคะ นั่งทีเดียวเห็นรอบเมืองเลย ทั้งไชน่าทาวน์ มหาวิหารลิเวอร์พูล เป็นมหาวิหารที่มีความยาวที่สุดในโลกและใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก  Philhamonic Hall สถานที่แสดงคอนเสิร์ต ออเครสตร้า Metroplitan Cathedral of Christ the king วิหารประจำเมือง ผ่าน Town Hall รวมถึงตึก 3 ตึกแสนสวย ก่อนจะพาลงน้ำที่ Salthouse Dock และกลับมาจบทัวร์ที่ Albert Dock แต่ด้วยน้องฝนไม่มีทีท่าว่าจะซาลง เป็ดน้อยก็เลยไม่ลงน้ำ…เฮ้ออออ อยากบอกว่าเสียใจได้ยินมั๊ย 555 รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ –> http://www.theyellowduckmarine.co.uk/

OLYMPUS DIGITAL CAMERAอกหักจากน้องเป็ด ก็ได้เวลาอาหารเย็นที่ Gusto Restaurant บริเวณท่าเรืออัลเบิร์ต เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนชื่อดัง ร้านสวย บรรยากาศดี อาหารอร่อย รายละเอียดตามนี้ค่ะ –> https://gustorestaurants.uk.com/restaurants/liverpool/ เราสั่ง Deep Fried Calamari และสปาเก็ตตี้ซีฟู้ด ปิดท้ายด้วยไอศครีมคนละ 3 ลูก ยิ่งกว่าลูกบอลยักษ์กลิ้งกลับกันได้เลย  น่าจะมัวแต่เอนจอยอีตติ้ง มีรูปแบบไม่ชัดเลยขอยืมรูปจากเวบไซต์ร้านมาแทนa84คืนนี้เข้าพักที่ Novotel Hotel Center ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลยค่ะ

รีวิวหน้าจะข้ามไปเที่ยวไอร์แลนด์กันแล้วค่ะ ติดตามได้ที่รีวิวเที่ยวไอร์แลนด์และไอร์แลนด์เหนือ Part II :

รีวิวเที่ยวอังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ ไอร์แลนด์และไอร์แลนด์เหนือ 16 วัน 15 คืน ตอนที่ 2

Follow ข้อมูลดี ๆ ภาพสวยบ้างไม่สวยบ้างได้ที่ :

FB: FlyDreamFirst

Instagram : cathy_dream_trip

บันทึก

บันทึก

บันทึก

8 thoughts on “รีวิวเที่ยวอังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ ไอร์แลนด์และไอร์แลนด์เหนือ 16 วัน 15 คืน ตอนที่ 1

  1. อยากไปเที่ยวลอนดอน+ดูฟุตบอลอังกฤษสักครั้งค่าใข้จ่าย 100,000บาทคงพอนะคะ

    1. พอค่า วางแผนดี ๆ รอจองช่วงสายการบินที่มีโปร แล้วก็เลือก รร ให้อยู่ใน budget เราค่ะ

  2. ขอบคุณมากๆ ค่ะ ที่ให้ข้อมูลดีๆ มีประโยชน์อย่างยิ่ง ตรงใจและใช้ได้ทันทีเลยค่ะ เพราะกำลังจัดโปรแกรมกันอยู่ และยังไม่ลงตัว (จาก คุณพรรณเพ็ญ)

  3. ข้อมูลมีประโยชน์มากๆค่ะ กำลังวางแผนสำหรับเมย. 2016นี้ค่ะ
    จะติดตามไปอ่านให้ครบก่อน ยังไงหากมีคำถาม จะขอรบกวนนะคะ

    ขอบคุณมากๆค่ะ

Leave a comment