วันที่สี่ของการเดินทาง : วันนี้ท้องฟ้าสดใส จริง ๆ ต้องบอกว่าสว่างสดใสมาตั้งแต่ตีสามเพราะพระอาทิตย์รีบมาปลุกเราแต่เช้า ทานอาหารเช้ากันที่โรงแรมเรียบร้อยก็พร้อมออกเดินทางกันต่อ แต่กว่าจะขึ้นรถกันได้ ใช้เวลานานอยู่เพราะวิวสวยๆ นี่แหละค่ะ ยิ่งธารน้ำแข็งมหึมาลิบ ๆ โน่นแล้ว จะมีที่ไหนอีกหนอ ให้เราได้เชยชมชิดใกล้ขนาดนี้เราเดินทางกลับสู่เมืองวิค (Vík) เพื่อชมหาดทรายสีดำเรนิสฟายาร่า (Reynisfjara) ที่แวดล้อมไปด้วยแท่งหินบะซอลต์ท มีไม่กี่แห่งในโลกค่ะ ถ้าใครเคยอ่านรีวิวไอร์แลนด์เหนือของเรา ที่เบลฟาสต์ก็เป็นอีกหนึ่งที่ที่มีแท่งหินบะซอล์ตแบบนี้ ต้องไปดูซะหน่อยว่าที่ไหนจะแจ่มกว่ากัน เจอถนนแบบนี้เข้าไป ชัตเตอร์ดังรัว ๆ สิคะแวะปั้มน้ำมัน เข้าห้องน้ำและซื้อไอศครีมทานกันก่อนตามคอนเซปต์เดิมบรรยากาศระหว่างทาง อยู่ข้างหน้าลิบ ๆ นั่นเองถึงแล้วค่า หาดสีดำแดดแรงมาก แต่ลมแรงมากกว่า ถ้าดูจากแผนที่จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า จากเกาะไอซ์แลนด์ลงไปถึงขั้วโลกใต้ ไม่มีแผ่นดินใดขวางอยู่ เป็นเหตุที่ทำไมไอซ์แลนด์ถึงลมแรงมากกกกเดินไปทางถ้ำ คลื่นซัดหาฝั่งเสียงดังซู่ ๆ บริเวณหน้าปากถ้ำเป็นหินแท่งบะซอลต์ทรงสี่เหลี่ยมแท่งหินบะซอลต์ เกิดจากการเย็นตัวของลาวาอย่างรวดเร็วเมื่อทำปฎิกริยากับความเย็นของน้ำในมหาสมุทร และเนื่องจากเย็นตัวไม่พร้อมกัน หินจึงมีลักษณะแตกต่างกันออกไปไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่มีวิวทิวทัศน์แปลกตา มุมนี้เหมือนเดินอยู่ในเรื่อง Lord of the Ring ขาเดินกลับไปที่รถ นั่งท่องเที่ยวญี่ปุ่นมากันเยอะเลยแชะและก็ช้อปกันต่อที่ร้าน Iceware มีของสำหรับนักท่องเที่ยวทุกอย่างค่ะ ที่ติดตู้เย็น เสื้อยืด เสื้อหนาว ผ้าพันคอ ถุงเท้า กระเป๋า ของกระจุกกระจิกสารพัด แต่ของที่ไอซ์แลนด์ราคาสูงพอสมควรโบสถ์เล็กๆ ที่เมืองวิค (Vík)ทานอาหารกลางวันก่อนที่ช่วงบ่ายจะไปขี่สโนโมบิล ตะลุยธารน้ำแข็งกันค่ะธารน้ำแข็งเมียร์ดาลโจกุล (Mýrdalsjökull Glacier) เป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่อันดับ 4 ของไอซ์แลนด์ มีพื้นที่ 595 ตร.ม. ตั้งอยู่เหนือเมืองวิคและภูเขาไฟที่เพิ่งระเบิดไปไม่นานจนยุโรปต้องปิดน่านฟ้ากันเลยชื่อว่า Eyjafjallajökull อ่านได้ว่า เอ-ยาฟ-เฟียต-ลา-โย-คุด ชื่อจะเรียกยากไปไหนเนี่ย ไปกันที่จุดเตรียมตัวค่ะ เจ้าหน้าที่จะอธิบายเรื่องราวสั้นๆ ก่อนให้เราเตรียมตัว ฟังจบแล้วก็เริ่มแต่งองค์ทรงเครื่องกันได้ ทุกคนต้องสวมชุดหมีซึ่งสามารถสวมทับชุดเราได้เลยค่ะ เปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าบู้ท หมวกคลุมหัว ส่วนหมวกกันน็อคถือไปใส่ตอนจะเล่นค่ะ ถุงมือ แว่นดำ กล้องถ่ายรูป พกไปได้ ส่วนอุปกรณ์ใด ๆ ไม่จำเป็นก็ใส่ตะกร้าวางไว้ที่ศูนย์นี้ ใส่แล้วกลมแน่นไปทั้งตัวออกมารอขึ้นรถจิ๊ปด้านนอกกันค่ะใช้เวลาเกือบ 20 นาที กว่าจะถึงธารน้ำแข็งด้านบน ระหว่างทางเป็นทางลูกรัง เด้งไปเด้งมา เบาบ้างแรงบ้าง แต่วิวสวย ๆ ข้างทางก็ทำให้ลืม ๆ ไปบ้างยิ่งขึ้นไปสูงก็เริ่มเห็นหิมะมากขึ้นแม้จะเป็นช่วงกลางเดือนพฤษภาคมแล้ว แถมวันนี้โชคดีสุด ๆ ท้องฟ้าแจ่มใสมากใกล้ถึงแล้วค่าสโนโมบิลจอดรอเราเป็นตับอย่างที่เห็น เจ้าหน้าที่อธิบายวิธีการขี่สโนโมบิล การบังคับ เร่ง เบรค การทรงตัว ไม่อย่างนั้นพาลล้มลงฟูกหิมะได้ง่าย ๆ คันนึงไปได้ 2 คน คนขับ 1 คน คนซ้อน 1 คน พร้อมแล้วค่า มีเจ้าหน้าที่ขับนำเราไปก่อน 1 คันแล้วค่อย ๆ ปล่อยเราออกไปทีละคัน ส่วนด้านหลังก็มีเจ้าหน้าที่คอยตามประกบอีกคันสโนโมบิลไม่ได้เร็วมาก ส.ว.ขี่กันได้สบายเจ้าหน้าที่คอยจี้ด้วยถ้าคันไหนขี่ช้าเกิน 555 แต่รถเค้าสวยเชียว ไม่เหมือนของเรา เครื่องก็แรงกว่าเยอะป้ารับภารกิจถ่ายทั้งกล้อง กล้องมือถือ วีดีโอ สลับกันวุ่นไปหมด รู้อย่างนี้ขอเป็นคนขับแต่แรกดีกว่าเบื้องหน้าและเบื้องหลังมองไปทางไหนมีแค่สีฟ้ากับสีขาว ท้องฟ้ากับหิมะขี่กันไปได้สักพัก ถึงช่วงไต่ขึ้นเนิน ไปกันช้า ๆ จนต้องหยุดจอดรอ ถ่ายรูปเล่นสักพัก ชะโงกหน้าไปดูหน่อยสิว่าข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น จังหวะขึ้นเนินสมาชิกเราหลายคัน เซล้มซ้ายล้มขวา จมลงไปในหิมะ ต้องรอเจ้าหน้าที่มาช่วย จนสุดท้ายเจ้าหน้าที่บอกว่าจอดพักถ่ายรูปกันก่อนละกันยูถ่ายรูปกันซิคะ รอมานานแล้วเย้ ๆ ได้เป็นคนขับแล้วหิมะหนานุ่มฟูมากกกก ก้าวขาทีจมกันไปเกือบถึงเข่า ว่าแล้วขอนอนบนหิมะฟู ๆ ซะทีกิจกรรมนี้ใช้เวลาขี่ประมาณ 1 ชั่วโมง ทุกคนลงความเห็นว่าน้อยเกินไป แง ๆ ยังไม่อยากกลับเลยกลับมาจุดที่เราเริ่มสตาร์ทกัน แล้วก็นั่งรถกลับไปที่ศูนย์เพื่อคืนชุดแล้วก็อุปกรณ์ค่ะคืนนี้เราพักกันที่เมืองวิค (Vík) พรุ่งนี้เป็นโปรแกรมน้ำตก ส้มตำค่ะวันเดินทางที่ 5 : ตื่นมาแอบมีปวดเมื่อยเล็ก ๆ น่าจะมาจากกิจกรรมสุดมันส์เมื่อวาน แต่ก็ยอมค่ะ เพราะมันสนุกมากกก ให้ ก ไก่ ไปล้านตัว มาเที่ยวไอซ์แลนด์ต้องบอกว่าบรรยากาศชิลจริง ๆ เช้า ๆ แบบนี้ อากาศกำลังเย็นสบาย ไปเดินเล่นถ่ายรูปกันค่ะเช้านี้จะไปน้ำตกสโคการ์ฟอส (Skógafoss) ใช้เวลาเดินทางแค่ 25 นาที เป็นน้ำตกที่มองเห็นมาแต่ไกลเลยค่ะ ด้วยความสูงถึง 62 เมตร จริง ๆ เราเห็นตั้งแต่วันแรกที่เราเดินทางมาที่ไอซ์แลนด์แล้วแต่ตอนนั้นยังไม่ได้แวะกัน ด้านขวาของน้ำตกมีบันได ให้เดินขึ้นไปชมจุดที่น้ำไหลลงมาจากด้านบนของแม่น้ำ Skógá ได้ค่ะ เห็นบันไดแล้ว…เฮ้อ…จิ๊บ ๆ มาถึงด้านบนแล้ว ลมแรงมาก หัวยุ่งเลยด้วยความสูงขนาด 62 เมตร เมื่อน้ำตกลงมาจากหน้าผาสูง ละอองน้ำฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ทำให้หญ้าตระกูลมอสและเฟิร์น สามารถเติบโตปกคลุมบริเวณไปทั่วไปชมพิพิธภัณฑ์สโคการ์ (Skogar Museum) กันต่อ อยู่ข้าง ๆ กันนี่เอง นั่งรถไปแป๊ปเดียวค่ะเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่แสดงถึงชีวิตความเป็นอยู่ในอดีตของชาวไอซ์แลนด์ คาดว่ากลุ่มคนแรกที่เข้ามาน่าจะเป็นชาวไอริช ต่อมาก็เป็นชาวไวกิ้ง เพื่อแสวงหาอิสรภาพในการปกครองตนเอง รวมถึงมีการนำทาสเข้ามาด้วยต่อมาได้ผนวกไปอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์นอร์เวย์ และต่อมาคือกษัตริย์เดนมาร์ก หลังจากที่นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก รวมกันภายใต้สหภาพคาลมาร์ อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์องค์เดียวกัน ที่นี่มีการแสดงอุปกรณ์ ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า ประวัติความเป็นมาของคนในอดีต โดยส่วนมากจะเกี่ยวพันกับการใช้ชีวิตที่ผูกพันกับท้องทะเล กลางห้องโถงมีเรือลำใหญ่จริง ๆ ตั้งแสดงอยู่ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นในการล่องเรือคุณลุงคนนี้ได้สาธิตให้เราได้ดูหลายอย่างเลย
พิพิธภัณฑ์แบ่งเป็นส่วนที่จัดแสดงด้านในและด้านนอกที่แสดงบ้านของคนไอซ์แลนด์ในอดีตและโบสถ์เล็ก ๆระหว่างทางเดินไปโบสถ์โบสถ์เล็ก ๆ สีขาวและด้านในบริเวณด้านนอกที่มีการแสดงบ้านเรือนต่าง ๆ ของคนไอซ์แลนด์ในอดีตหลังจากนี้เราจะแวะไปชมพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับภูเขาไฟที่ระเบิดไปเมื่อเมษายน 2010 ก่อให้ควันปกคลุมทั่วน่านฟ้ายุโรป หลายร้อยเที่ยวบินต้องยกเลิก เรียกว่าการจราจรทางอากาศเป็นอัมพาตกันเลยEyjafjallajökullชื่อภูเขาไฟนี้เป็นปัญหากับนักข่าวตอนที่รายงานข่าวช่วงนั้นมาก เห็นด้วยว่าออกเสียงยากจริง ขอคอนเฟิร์มด้วยอีกคนค่ะเจ้าของพิพิธภัณฑ์นี้มีบ้านตั้งอยู่บริเวณนี้ เลยได้ถ่ายวีดีโอไว้ตั้งแต่ตอนที่เริ่มระเบิด ต้องบอกว่ายังมีใจมาถ่ายได้อีกเน้อมีห้องสำหรับรับชมวีดีโอที่เจ้าของบ้านได้บันทึกไว้ ใช้เวลาชมประมาณ 20 นาที เรื่องราวจากวีดีโอและเถ้าที่เจ้าของบ้านได้เก็บไว้ จึงได้มีการสร้างพิพิธภัณฑ์นี้ขึ้นมาไว้รองรับนักท่องเที่ยวค่ะ ภาพนี้ถ่ายจากวีดีโอที่เราได้รับชม ควันมืดดดดเลยทีเดียว บริเวณที่จอดรถ นาน ๆ จะได้เห็นหญ้าเขียว ๆ กับดอกไม้สวย ๆ ที่นี่หลังทานอาหารกลางวันกันแล้ว จะไปชมน้ำตกกันต่อค่ะ บอกแล้ววันนี้รวมมิตรน้ำตกจริง ๆ น้ำตกนี้ชื่อเซลยาลันส์ฟอส (Seljalandsfoss) foss แปลว่าน้ำตก ลงรถแล้วก็เดินเข้าไปชมกันได้เลยค่ะ เป็นน้ำตกที่สามารถเดินเข้าไปชมทางด้านหลังได้ แต่ก็แอบเปียกเหมือนกันนะคะ เพราะละอองน้ำที่กระเซ็นมาเดินอ้อมออกมาถ่ายรูปด้านหน้าต่อค่ะ น้ำตกกลายมาเป็นลำธารน้อยบริเวณนี้มีน้ำตกเล็ก ๆ อยู่หลายที่เหมือนกันบ๊ายบายกับวิวมุมกว้างอีกรูปก่อนขึ้นรถไปเมืองเรคยาวิก (Reykjavik) กันค่ะ นั่งรถยาว ๆ ไปอีก 2 ชั่วโมงมาถึงเมืองหลวงกันแล้ว แวะเที่ยวสถานที่ชื่อดังอีกแห่ง เพอร์ลัน (Perlan) อาคารรูปทรงคล้ายลูกโลกครึ่งวงกลมตั้งอยู่บนอาคารเก็บน้ำขนาดใหญ่บนเนินเขา Oskjuhlio ชานเมืองหลวง ความสูงจากตัวอาคารถึงพื้นดิน 25.7 เมตรที่เลือกตั้งที่นี่เพราะด้านล่างเป็นน้ำพุร้อนธรรมชาติ ตัวอาคารตั้งอยู่บนถังอลูมิเนียมขนาดใหญ่ 6 ถัง แต่ละถังสามารถบรรจุน้ำได้ถึง 4 ล้านลิตร ด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่สามารถนำน้ำร้อนจากใต้ดินมาควบคุมอุณหภูมิโดยไม่ต้องผ่านขบวนการจากโรงผลิตพลังงาน และปรับเปลี่ยนอุณหภูมิให้พอเหมาะในแต่ละฤดูกาล ก่อนส่งน้ำไปตามท่อเหล็ก ซึ่งใช้เป็นโครงยึดเรือนแก้วทั้งหลัง ทันสมัยมาก ๆด้านในทำเป็นพิพิธภัณฑ์ มีร้านขายของที่ระลึก และที่สำคัญคือร้านอาหารที่อยู่ชั้นบนสุด หมุนได้รอบ 360 องศามื้อเย็นเราทานกันที่นี่ อาหารหน้าตาดีแต่รสชาติไม่ดีเท่าหน้าตาค่ะหมุนไปเรื่อย ๆ ค่ะ ตอนนี้น่าจะทุ่มกว่า ๆ แล้ว ยังสว่างโร่เชียวหนังท้องตึงแล้วได้เวลาย่อยอาหาร แวะ Höfði (Hofdi House) ก่อนกลับโรงแรมกันค่ะบ้านนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1909 เริ่มแรกเพื่อเป็นบ้านพักของฑูตฝรั่งเศส Jean-Paul Brillouin และยังเคยเป็นที่พักของนักกวีและนักธุรกิจ Einar Benediktsson เป็นเวลา 12 ปี ในช่วงปี ค.ศ.1925-1937 เป็นที่พักของจิตรกร Louisa Matthíasdóttir ในปี 1940-1950 เป็นที่ตั้งของสถานทูตอังกฤษ จนในปี ค.ศ.1958 เมืองเรคยาวิกได้ซื้อและบูรณะบ้านหลังนี้ หลังจากนั้นกถู็กใช้สําหรับการต้อนรับอย่างเป็นทางการและงานรื่นเริง
ในวันที่ 25 กันยายน 2009 ครบรอบ 100 ปีของอาคาร Höfði ได้รับความเสียหายจากไฟไหม้
ในปี ค.ศ. 2015 รูปปั้นของ Einar Benediktsson ที่ออกแบบโดย Ásmundur Sveinsson ได้ถูกย้ายมาใกล้กับ Höfði house.แต่เหตุการณ์ที่สำคัญสำหรับที่นี่คือเป็นสถานที่ที่ 2 ผู้นำประเทศมหาอำนาจ โรนัล เรแกน และมิคาเอล กอบาชอฟ ตกลงยุติสงครามเย็น (Cold War) และได้มีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ในปี ค.ศ.1986 คืนนี้พักกันที่ Grand Hotel Reykjavik ค่ะ
ตามต่อตอนหน้ารีวิวเที่ยวไอซ์แลนด์_Iceland on the moon ตอนที่ 3 : เส้นทางวงแหวนทองคำ (Golden Circle), Blue lagoon :
รีวิวเที่ยวไอซ์แลนด์__Iceland on the moon ตอนที่ 3