รีวิวเที่ยวยุโรปตะวันออก ตอนที่ 1 : ออสเตรีย บาวาเรีย เชค

ออสเตรีย บาวาเรีย เชค อีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวที่มีความหลากหลาย ทั้งภูเขา ทะเลสาบ ปราสาทเก่าแก่ บ้านเรือนสีสันสดใส อ่านข้อมูลแล้ว ที่โน่นก็อยากไปที่นี่ก็อยากไป บางเมืองเคยไปแล้วก็อยากไปซ้ำอีก ทริปนี้เลยต้องจับมาขยำรวม ๆ กัน สรุปทริปออกมาได้ 16 วัน 14 คืน ป้าเลือกเดินทางช่วงกลางเดือนตุลาคมเป็นอีกช่วงที่สวยของยุโรปคือช่วงใบไม้เปลี่ยนสี อากาศอาจจะแปรปรวนบ้างแต่ก็เริ่มเย็นสบายๆ เหมาะกับคนไทยขี้ร้อนอย่างเรา ทริปนี้ไปกันนาน รีวิวก็เลยเยอะตามไปด้วย ขอแบ่งเป็นตอน ๆ ไปนะคะ รูปสวย ๆ เยอะ บางรูปเป็นของทริปอื่น ๆ ขอเอามาผสมด้วยเลยค่ะ ส่วนมากแล้วจะเป็นรูปจากมือถือซะส่วนใหญ่ มีเพิ่มแสงสีไปบ้างเพื่อความคมชัด เชิญรับชมกันเลยค่า….a1ทริปนี้เราพักที่ออสเตรียนานที่สุด เลยต้องยื่นขอวีซ่าเชงเก้น ประเทศออสเตรีย สามารถดูรายละเอียดได้ที่ : https://www.vfsglobal.com/Austria/Thailand/thai/index.html
ที่ตั้ง : ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า VFS อาคารจามจุรีสแควร์ ชั้น 4
หมายเหตุ : สำหรับการยื่นคำร้องขอวีซ่าเป็นรายบุคคลต้องนัดหมายวันยื่นวีซ่าก่อนนะคะ

เวลารับยื่นคำร้องขอวีซ่า: วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08:30 ถึง12:00 และ เวลา 13:00 ถึง16:00 เวลารับคืนหนังสือเดินทาง: วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 13:00 ถึง 16:00

ติดต่อสอบถาม :
ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าออสเตรีย โทร  02-118-7008 ในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08:30 ถึง 16:00 หรือ ส่งอีเมลมาที่ info.austh@vfshelpline.com

หมายเหตุเพิ่มเติม : ระบบสแกนลายนิ้วมือ
ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 เป็นต้นไป ทางสถานฑูตออสเตรียประจำประเทศไทยและประเทศในกลุ่มเชงเก้น จะมีการเริ่มใช้ระบบสแกนลายนิ้วมือ เพื่อใช้ในการจำแนกคุณลักษณะรายบุคคลในระบบการทำวีซ่า
ผู้ยื่นมีความจำเป็นที่จะต้องมายื่นคำร้องขอวีซ่าด้วยตนเองเท่านั้น เพราะผู้สมัครมีความจำเป็นที่จะต้องสแกนลายนิ้วมือ เพื่อระบุลายนิ้วมือของผู้สมัครทั้ง 10 นิ้วเพื่อเก็บเป็นข้อมูลที่สามารถนำมาใช้ได้ภายใน 5 ปี หากผู้สมัครมีความประสงค์ที่จะเดินทางไปในกลุ่มประเทศเชงเก้น
ausการเดินทาง : สมาชิกผู้ร่วมทริปนี้เป็นคณะแก๊งค์เพื่อนแม่ ๆ ทั้งหมด 21 คน จะพาขึ้นรถไฟ นั่งรถบัสคงไม่ไหว เลยต้องใช้บริการเช่ารถบัสพร้อมคนขับ

สายการบิน : ทริปนี้เราใช้บริการสายการบิน EVA Air ซึ่งเป็น 1 ใน 3 สายการบินที่บินตรงจากกรุงเทพสู่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย อีก 2 สายการบินคือ Austrian airline และการบินไทย เหตุผลที่เลือกบิน EVA Air เพราะตารางบินดีงาม ถึงเวียนนาช่วงเช้าและขากลับออกตอนหัวค่ำ มีเวลาเต็ม ๆ ค่ะ และสามารถสะสมไมล์ Star Alliance ได้ด้วย

พร้อมออกเดินทางจากกรุงเทพ – เวียนนา (02.35-08.45) ไฟลท์ดึกก็หลับกันได้สบาย ๆ มีเสิร์ฟหลังจากเครื่องขึ้นและอาหารเช้าก่อนเครื่องลง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 11 ชั่วโมง 10 นาที เส้นทางนี้เป็นเครื่องที่ไม่มี Deluxe Class มีเฉพาะ Busiess class และ Economy class ที่นั่งเป็น 2-4-2 (Update: ตั้งแต่เดือน ตค 2016 เส้นทางนี้มีที่นั่งชั้น Deluxe class แล้วนะคะ ส่วนทีนั่ง Economy class เป็นที่นั่ง 3-3-3) รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ –> http://www.evaair.com
a2สายการบินนี้มีเสิร์ฟอาหารสไตล์เอเชีย หมี่ผัด ข้าวผัด และมีโจ๊กสำหรับมื้อเช้าให้เลือกด้วย ติดแค่มีหนังให้เลือกดูน้อยไปหน่อยa3มาถึงสนามบินเวียนนา (Flughafen Wien) ออกจากเครื่องบินแล้ว เดินไปตามป้าย Exit Vienna เดินไปสักพักจะมีป้าย Passport Control ลงบันไดเลื่อนไปก็จะเห็น Immigration เตรียมพาสปอร์ตให้พร้อม เข้าออสเตรียไม่มีใบ ต.ม. ไม่มีใบ Custom ที่ต้องกรอกนะคะ แต่นักท่องเที่ยวควรเตรียมเอกสารต่าง ๆ เช่นใบจองตั๋วเครื่องบินขากลับ ใบจองที่พัก Itinerary เจ้าหน้าที่ที่นี่ไม่ค่อยถามค่ะ  ยิ้มสยามเข้าไว้ พอได้ตราประทับแล้วก็เดินไปเช็คหน้าจอว่าต้องไปรับกระเป๋าที่สายพานไหนa5b22บริเวณสายพานรับกระเป๋า ถ้าต้องการใช้รถเข็นเตรียมเหรียญ 50 cent ให้พร้อมนะคะ เพราะต้องหยอดเหรียญก่อนถึงจะดึงรถเข็นออกมาใช้ได้ เมื่อเราเอารถเข็นกลับไปคืน ก็จะได้รับ 50 cent คืนกลับมาเมื่อรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่มีของต้องสำแดงก็เดินผ่านช่องเขียวโลดa6b21คนขับรถบัสถือป้ายยืนรอรับเรา เอากระเป๋าโหลดขึ้นรถเรียบร้อย ก็พร้อมออกเดินทางไปทางตะวันตกสู่เมืองซาร์ลสบวร์ก (Salzburg) โดยใช้เส้นทาง A1 Westautobahn (credit : lonely planet)
map_of_austriaแวะพักทานอาหารกลางวันที่ Landzeit Strengberg เป็นจุดพักรถตามทางหลวง มีให้อาหารบริการแบบ Self-service โดยจะมีราคาติดอยู่ที่อาหารนั้น ๆ มีแบบคิดเป็นชิ้น คิดเป็นจาน และยังมีขนมหวาน เครื่องดื่มต่าง ๆ เมื่อตักเสร็จเรียบร้อยก็ไปคิดเงินได้ที่แคชเชียร์ค่ะ ที่สำคัญที่สุดก่อนที่จะคิดตักมาเยอะ ๆ คืออาหารแถบนี้รสชาติเค็มมว๊ากกกกกกa80a77จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วก็เลือกที่นั่งกันตามสบาย เห็นขนม Manner มั้ยคะ ขนมเวเฟอร์ขึ้นชื่อของออสเตรียa78วิวสวย ๆ ด้านนอกa79อิ่มแล้วไปกันต่อค่ะ อีกประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงจะถึงเมืองซาร์ลสบวร์ก (Salzburg) ตอนนี้ของีบกันไปพลาง ๆ ก่อน ใครไม่งีบก็ชมวิวข้างทางสวย ๆ ไปก่อน แป๊บ ๆ เราก็มาถึงเมืองซาร์ลสบวร์ก (Salzburg) เมืองที่มีแม่น้ำไหลผ่ากลาง แยกออกเป็นฝั่งเก่า ที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกและฝั่งใหม่ที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออก พี่คนขับจะจอดส่งเราที่ถนน Paris-Londron Straße ซึ่งตั้งอยู่ทางเขตฝั่งใหม่ เนื่องจากเมืองนี้ไม่ให้รถใหญ่วิ่งเข้าไปที่เขตฝั่งเก่าค่ะ a29พร้อมแล้วมารู้จักเมืองซาร์ลสบวร์ก (Salzburg) กันหน่อย หลายคนน่าจะเคยได้ยินชื่อเมืองนี้จากภาพยนตร์ชื่อดัง The Sound of Music ต้องบอกว่าเพราะภาพยนตร์เรื่องเดียวทำให้เมืองนี้เลยกลายเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกเลยทีเดียว Salzburg แปลว่าเมืองแห่งเกลือ Salz แปลว่าเกลือ ส่วน Burg แปลว่าเมือง เนื่องด้วยบริเวณแถบนี้มีเกลือมาก เกลือในอดีตมีความสำคัญถือว่าเป็นทองคำขาว เมืองนี้มีแม่น้ำ Salzach ไหลผ่ากลางเมือง ก็ถูกใช้เป็นเส้นทางคมนาคมติดต่อกับเมืองอื่น ๆ โดยเฉพาะเป็นเส้นทางการขนส่งเกลือซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่สำคัญ ทำให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการค้าเป็นต้นมา ถ้าใครสนใจอยากรู้ข้อมูลเมืองนี้เพิ่มเติม ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว แนะนำดูรายละเอียดได้ที่เวบไซต์นี้ค่ะ –> https://www.salzburg.info/en/salzburga39ลงรถแล้วจุดแรกจะเดินเล่นชมสวนมิราเบล (Mirabell Garden) กันก่อน สวนสาธารณะที่มีรูปปั้นและดอกไม้งาม ๆ ไปทั่วสวน ถ้าอยากเห็นดอกไม้งามสะพรั่ง ซากุระงาม ๆ หรือดอกทิวลิป ต้องมาช่วงกลางเดือนเมษายนค่ะจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิg1a15g2a14a13g4มองไปไกล ๆ เห็นป้อมปราการโฮเฮนซาร์ลสบวร์ก (Hohensalzburg) บนโน้นa8ในอดีตเมืองนี้เป็นเมืองหน้าด่านของพวกโรมันที่มีชื่อว่ายูวาวุม แต่ตอนหลังถูกทำลายโดยกลุ่มคนเถื่อนเยอรมัน พวกชาวเมืองอพยพหนีไปจนกลายเป็นเมืองร้าง จนมาถึงยุคกษัตริย์แห่งบาวาเรียได้ยกดินแดนแห่งนี้ให้กับบิชอพ รูเพิร์ท (Bishop Rupert) ชื่อยูวาวุมก็เลยเปลี่ยนเป็นซาร์ลสเพิร์ท (Salzpurch)  เมืองนี้จึงต่างจากเมืองอื่น ๆ ที่มีนักบวชเป็นผู้ปกครอง มีตำแหน่งที่เรียกว่า Prince Archbishop a12สวนมิราเบลและปราสาทมิราเบล สร้างในปี ค.ศ.1606 โดยเจ้าชายอาร์คบิชอพวูลฟ์ ดิทริช เป็นศิลปะสไตล์เรเนซองค์ เป็นที่รู้จักและโด่งดังมากเพราะเป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์อมตะชื่อดัง The Sound of Music โดยเฉพาะเพลง Do-re-mi a10เนื่องด้วยตำแหน่งผู้ปกครองเมืองที่ใหญ่ที่สุด อยากได้อะไรเป็นต้องได้  ตัวอาร์คบิชอพดีทริชเองก็ประพฤติตนไม่สมกับอยู่ในฐานะนักบวช ถูกวิจารณ์อย่างหนักโดยเฉพาะเรื่องสตรี ว่ากันว่ามีภรรยาลับที่ชื่อ ชาโลเม อัลท์ ปราสาทแห่งนี้จึงถูกเรียกว่าปราสาทอัลเทนาว ยุคนี้ถือเป็นยุคอื้อฉาวของนักบวชนิกายโรมันแคธอลิค จนเกิดกระแสปฎิรูปศาสนาและกลายเป็นความขัดแย้งนำไปสู่สงคราม 30 ปี (Thirty Years War) ในช่วงปี 1618-1648 หลังจากอาร์คบิชอพดีทริชสิ้นชีพ อาร์คบิชอพคนใหม่เลยเปลื่ยนชื่อปราสาทเป็นปราสาทมิราเบล เพื่อล้างภาพอื้อฉาวนั้นออกไปa11a9g5g17เดินข้ามสะพาน Makartsteg ไปยังเขตเมืองเก่ากันค่ะ มองไปไกล ๆ ในรูปคือป้อมปราการโฮเฮนซาร์ลสบวร์ก บนยอดเขามุนช์เบิร์ก ได้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1077 ในยุคของอาร์คบิชอพเกบฮาร์ด ต่อมากลายเป็นที่ลี้ภัยเมื่อการเมืองเกิดความไม่สงบ ได้มีการต่อเติมมาหลายยุคหลายสมัยและไม่เคยมีใครพิชิตได้ ปัจจุบันได้รับการยกย่องว่าเป็นป้อมปราการที่มีความสมบูรณ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใครสนใจสามารถขึ้นกระเช้าไปชมได้ค่ะa21a22กุญแจคู่รักมีทั่วโลกจริงๆg6เดินเข้ามาสู่ฝั่งเมืองเก่ากันแล้ว บริเวณแถวนี้ร้านค้าพรึบ ทั้งแบรนด์เนม สตรีทแบรนด์ ร้านช็อคโกแลต มีให้เลือกมากมาย และถนนช้อปปิ้งสายสำคัญที่มีป้ายเหล็กสวย ๆ Getreidgasse  และยังเป็นที่ตั้งบ้านสีเหลือง บ้านเกิดของ “โมสาร์ท” Wolfgang Amadeus Mozart นั่นเอง โมสาร์ทได้รับใช้ราชสำนักและมีชื่อเสียงโด่งดังด้วยผลงานที่มีมากกว่า 200 ชิ้น ทั้งเพลง ซิมโฟนีและอุปรากร แต่ที่น่าสลดใจคือตอนที่เขาเสียชีวิตด้วยโรคไทฟอยด์ เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 1791 ด้วยวัยเพียง 35 ปี ไม่มีแฟนเพลงไปร่วมงานศพเขาแม้แต่คนเดียว ศพของคีตกวีผู้ยีงใหญ่นี้ถูกฝังไว้ที่สุสานของคนอนาถาในกรุงเวียนนาโดยไม่ได้ทำเครื่องหมายใด ๆ แสดงไว้ จนบัดนี้ไม่มีใครทราบได้ว่าหลุมฝังศพที่แท้จริงอยู่ตรงไหนg13หันหน้าเข้าบ้านโมสาร์ทแล้วเลี้ยวไปทางด้านซ้ายมือ จะไปชมมหาวิหารกันก่อนแล้วค่อยกลับมาเดินเล่นที่นี่กันค่ะ ผ่านศาลาว่าการเมืองหลังเก่าg19เดินผ่านร้านกาแฟ 2 ชั้นที่มีระเบียงตรงชั้น 2 ชื่อร้าน Café Tomaselli เปิดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1705 แม้แต่ Wolfgange Amadeus Mozart ก็เป็นแขกประจำของร้านนี้ ด้วยการตกแต่งที่สวยงามอย่างโต๊ะหินอ่อน ถาดสีเงิน หรือ ที่วางหนังสือพิมพ์แบบคลาสสิค และพนักงานเสิร์ฟที่ใส่ชุดทักซิโด้ มีขนมเค้กให้เลือกมากกว่า 40 ชนิดa27เดินไปอีกนิดจะเห็น Residenzplatz ที่ตั้งน้ำพุที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในเมืองนี้ น้ำพุทั้ง 4 ด้านจะมีประติมากรรมรูปม้าพ่นน้ำออกมา เดินเลยไปคือมหาวิหารซาร์ลสบวร์ก มหาวิหารประจำเมือง สร้างขึ้นในปี ค.ศ.767 ในยุคของ Bishop Virgil และสร้างเสร็จในยุคของ St.Peter และ St.Rupert ในปี ค.ศ. 774a30เกิดไฟไหม้ใหญ่ขึ้นในปี ค.ศ.1167 และได้มีการซ่อมแซมขึ้นมาใหม่สวยงามอลังการกว่าเดิม โดยใช้เวลาซ่อมแซมทั้งหมด 10 ปี ในปี ค.ศ.1598 เกิดไฟไหม้ขึ้นอีกครั้งและใช้เวลาซ่อมแซมไปกว่า 30 ปี เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1628 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกเครื่องบินทิ้งบอมบ์ ทำลายยอดโดมและบางส่วนของมหาวิหาร ต่อมาได้รับการบูรณะให้งดงามดังเดิมg7ด้านหน้ามีรูปปั้น 4 รูปปั้นคือท่านอัครสาวกปีเตอร์และพอล ถือกุญแจและดาบ St.Rupert ถือถังเกลือ และ St.Virgil ถือโมเดลโบสถ์ ด้านหน้ามีตัวเลขคริสตศักราชเพื่อเป็นการระลึกถึงการบูรณะทั้ง 3 ครั้งคือ 774, 1628 และ 1959 g8g10g18ด้านในสามารถบรรจุคนเข้าร่วมพิธีได้ประมาณ 900 คน ไม่เสียค่าเข้าชมแต่พอเราเดินออกมาแล้วจะมีกระปุกไว้ให้หยอดทำบุญค่ะg9บริเวณใกล้มหาวิหาร จะมีกระเช้าพาขึ้น Festung Hohensalzburg หรือเรียกว่าป้อมปราการโฮเฮนซาร์ลสบวร์ก ที่แปลว่าป้อมสูงแห่งเมืองซาร์ลสบวร์ก ตั้งอยู่บนยอดเขาเฟสตุงของภูเขามงค์บวร์ก (Monchsburg) และเป็นหนึ่งในปราสาทยุคกลางที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรปกลาง เป็นป้อมปราการที่ไม่มีใครสามารถตีได้ และไม่ได้ใช้งานเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2g11บริเวณด้านข้างของมหาวิหารคือจัตุรัส Kapitelplatz (Chapter Square) จุดเด่นคือประติมากรรมลูกโลกสีทองโดยมีรูปปั้นผู้ชายยืนอยู่ แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาว ได้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2005 ในการแสดงนิทรรศการ Salzburg Walk of Modern Art และที่ลานนี้มีกระดานหมากรุกยักษ์ ซึ่งผู้คนก็เล่นกันจริง ๆ ใครสนใจไปลองเล่นได้นะคะg15g12เดินย้อนกลับมาทาง Residenzplatz จะมีรูปปั้นโมสาร์ท คีตกวีของโลก มีชื่อเต็มว่า Wolfgang Amadeus Mozart เกิดที่เมืองนี้แหละค่ะ ไม่ต้องแปลกใจถ้าไปไหนมาไหนจะเห็นโมสาร์ทไปทั่วเมือง ไม่ว่าจะเป็นขนม ของที่ระลึก ร้านอาหาร ทุกอย่างคือโมสาร์ทจริง ๆ a31
เดินกลับมาที่ถนนเกไทรเด้ (Getreidegasse) ถนนการค้าเก่าแก่ของเมืองที่ใช้ป้ายเหล็กดัดเป็นสัญลักษณ์ของร้านแขวนไว้เหนือทางเข้า ทำให้ถนนเล็ก ๆ เส้นนี้ดูเก๋ไก๋ขึ้นมาทีเดียวg14g21a25a26g20เดินเล่นกันจนได้เวลาทานอาหารเย็นที่ Cafe Mozart บนถนนเกไทรเด้ ก่อนเข้าที่พัก NH Salzburg ซึ่งอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ นอกเหนือจากร้านอาหารฝรั่งนี้แล้วยังมีร้านอาหารจีน Yuen ร้านอาหารญี่ปุ่น Nagano หรือร้านทานง่าย ๆ อย่าง Nordsee ร้านกาแฟ Starbucks หรือร้าน Cafe Konditorei Fürst ที่มีช็อคโกแลตอร่อย ๆ ส่วนซุปเปอร์มาร์เก็ตก็มี Billa, Spar เข้าไปเลือกซื้อขนม ผลไม้ เครื่องดื่มกันได้ แต่อย่าลืมนะคะร้านที่ออสเตรียปิดวันอาทิตย์ จะได้วางแผนกันถูกg16เราพักกันที่นี่ 2 คืนค่ะ พรุ่งนี้จะข้ามไปเที่ยวฝั่งเยอรมนีแล้วกลับมานอนที่นี่อีก 1 คืน จะได้ไม่ต้องเหนื่อยย้ายบ้านกันบ่อย ๆf224
วันที่สองของทริป :  วันนี้พยากรณ์อากาศแว่วว่าจะมีฝน..แงแง หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว เราจะข้ามพรมแดนกันไปประเทศเยอรมนีและกลับมาพักที่นี่อีก 1 คืน ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงเมืองแบร์กเทสกาเดน (Berchtesgaden) มุ่งหน้าสู่ทะเลสาบโคนิค (Königssee) หรือทะเลสาบกษัตริย์ ในภาษาเยอรมัน König แปลว่า King หรือกษัตริย์ ส่วน see แปลว่าทะเลสาบเกิดจากการละลายของกลาเซียร์บนยอดเขาจนเกิดเป็นทะเลสาบมีความยาวประมาณ 8 กม. กว้างเพียง 1 กม. และลึก 200 เมตร บนความสูงกว่า 602 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เราจะนั่งจาก Königssee Seelände ไปยัง St.Batholomä แล้วก็นั่งย้อนกลับมาที่จุดเดิม รายละเอียดตารางเรือ (Timetable) ราคาค่าตั๋ว ดูได้จากเวบไซต์นี้เลยค่ะ –> https://www.seenschifffahrt.de/en/koenigssee/

a48
จากจุดจอดรถใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาทีกว่าจะไปถึงท่าเรือ สองข้างทางมีร้านค้าน่ารัก ๆ มากมาย อดใจไว้ก่อนรอขากลับค่อยแวะกันค่ะ ไม่งั้นมีหวังตกเรือกันแหง ๆ a47
หลังจากซื้อตั๋วตรงเคาเตอร์ท่าเรือคนละ 13.30 ยูโร ก็มายืนรอบริเวณท่าเรือ โดยเรือจะออกจากท่าประมาณทุก ๆ 30 นาที ถ้าช่วงไหนเป็นวันหยุดหรือซัมเมอร์ เรือเต็มปุ๊ปก็ออกปั๊ป บริเวณท่าเรือมีห้องน้ำเข้าได้ฟรี ส่วนบนเรือไม่มีค่า
a56g22ได้เวลาแล้ว ขึ้นเรือได้ค่ะ บนเรือจองที่นั่งไม่ได้ ดังนั้นใครขึ้นก่อนก็เลือกนั่งได้ก่อนตามสบาย แนะนำให้นั่งทางด้านขวาของเรือจะได้ถ่ายโบสถ์ได้ชัด ๆ a69โรงเก็บเรือ เรือที่ใช้แล่นบริการนักท่องเที่ยวในทะเลสาบนี้เป็นเรือมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งทำให้ไม่มีควันพิษและความดังของเสียงเครื่องยนต์รบกวน a51น้ำในทะเลสาบนี้ถือว่าใสที่สุดและสะอาดที่สุดในเยอรมนี อากาศบริเวณนี้สดชื่นนนนนและบริสุทธิ์มากa50a52จะมีเจ้าหน้าที่คอยอธิบายแต่ละจุดที่สำคัญ ๆ ไปตามทาง โดยมากแล้วจะอธิบายภาษาเดียว นั่นก็คือ….ภาษาเยอรมนี แบบไม่มีซับไตเติ้ล แต่ก็มีเจ้าหน้าที่บางคนที่เป็นแบบ Bilingual เยอรมนี-อังกฤษ แต่ถ้าฟังไม่รู้เรื่อง ตอนที่เราซื้อตั๋วจะมีแจกแผ่นพับเป็นภาษาอังกฤษอธิบายจุดต่าง ๆ ก็พอให้เข้าใจได้ ยกเว้นมุขไหนที่เจ้าหน้าที่เล่นขำ ๆ อันนี้ก็ได้แต่สบตากันไปแม่ แปลว่าอิหยังว๊าาาาา จุดต่าง ๆ ที่สำคัญ ๆ เช่น จุดที่เรือล่ม(Falkensteiner Wand)  เมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน มีผู้เสียชีวิตประมาณ 70 คน หรือ Malerwinkel มุมนักวาด a53ล่องเรือไปยังโบสถ์บาโธโลมิว (St.Bartholomä church)ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างที่แล่นเรือนั้นระหว่างทางกัปตันก็จะดับเครื่องยนต์ที่จุด Ecowand แล้วก็เป่า Flügelhorn คล้าย ๆ ทรัปเปตให้พวกเราได้ฟัง พอเป่าเสร็จก็จะได้ยินเสียงเอ่คโค่สะท้อนกลับมาอย่างชัดเจน นักท่องเที่ยวอย่างเราก็ปรบมือกันเกรียวหลังจากนั้นก็จะเปิดหมวกเดินเก็บทิปค่า…ไปต่อ ๆ ค่ะ ถ้าใครอยากถ่ายรูปโบสถ์หัวหอมสีแดง St.Bartholomä แบบชัด ๆ ก็ต้องนั่งด้านขวาของเรือนะคะ  a54a55ถ้าใครยังไม่ขึ้นที่ท่าเรือนี้ ก็นั่งต่อไปที่ Salet ได้ค่ะ บริเวณจุดนี้เดินเล่นรอบ ๆ ได้ ที่สำคัญแค่กะดูเวลารอบเรือว่าเราจะกลับเวลาไหน บางทีนักท่องเที่ยวเยอะ อาจจะไม่ได้ขึ้นเรือเลยก็ต้องไปรอต่อคิวกันก่อน  ถ้าใครไม่ได้จะมาทานอาหารที่นี่ เดินเล่น ถ่ายรูปประมาณ 1 ชั่วโมงก็พอค่ะ รูปด้านหลังโอบล้อมด้วยเทือกเขาวัตซ์มันน์ (Watzmann Mountain)a60St.Bartholomä เดิมทีเป็นโบสถ์แคธอลิคเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นมาในปี ค.ศ. 1134 โดยคณะนักบวชของแบร์กเทสการ์เทน ชื่อโบสถ์เป็นชื่อนักบุญผู้ปกป้องคุ้มครองชาวนาชาวไร่ในเทือกเขาอัลไพน์ และได้มีการสร้างขึ้นมาในสไตล์บารอค โดยมีต้นแบบจากมหาวิหารซัลส์บวร์ก เป็นโดมหัวหอมสีแดง ด้านในสามารถเข้าชมได้ฟรีค่ะa64g23g34เดินอ้อมมาบริเวณด้านหลังโบสถ์a65g29g24g25ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีสวยงามไปหมด นักท่องเที่ยวก็เยอะพอสมควร อยากถ่ายรูปแบบไม่ติดใครเลยอาจจะยากหน่อย ต้องรอแล้วก็รอค่ะg26g27g28ใช้เวลาไป 1 ชั่วโมงเต็มที่นี่ ก็ไปรอขึ้นเรือกลับ จุดไปขึ้นเรือจะมีป้ายบอกอยู่ทางเดียวกับทางไปห้องน้ำค่ะg30g32g33
กลับมาถึงท่าเรือแล้ว จะไปทานมื้อกลางวันกันที่เมืองแบร์กเทสการ์เทนที่ร้าน Gasthof Goldener Bär นั่งรถไปประมาณ 10 นาที บรรยากาศเมือง g37g42g35g36g38g39g40มีแต่รูปร้านอื่น ร้านนี้มีรูปเดียวนี่แหละค่ะg41ช่วงบ่ายไปเที่ยวเหมืองเกลือ Saltmine Berchtesgaden กันค่ะ รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ –> https://www.salzbergwerk.de/en a76เหมืองเกลือนี้สร้างมาตั้งแต่ ค.ศ. 1517 มีอายุมากกว่า 500 ปี ด้านในไม่สามารถเดินชมเองได้ แต่จะมีไกด์พานำเที่ยวเป็นรอบ ๆ ใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมง ขึ้นอยู่กับว่ารอบนั้นคนมากน้อยแค่ไหนค่ะ  a72g50เราทำการจองและชำระเรียบร้อยแล้วผ่านทางเวบไซต์ –> https://www.salzbergwerk.de/en/your-visit/buy-tickets-online จะมีหน้าจอแสดงไว้ว่าถึงรอบที่เท่าไหร่แล้ว เมื่อถึงรอบเราก็สแกนบัตรผ่านเข้าไปด้านใน จะมีเคาเตอร์สำหรับรับชุดหมีที่ผู้เข้าชมทุกคนต้องสวมทับเพื่อความปลอดภัย เจ้าหน้าที่จะกะให้เราเองด้วยสายตาค่ะ โดยสามารถสวมทับชุดเราได้เลย ส่วนกระเป๋าก็จะมีล็อคเกอร์ให้เราไปเก็บได้ โดยหยอดเหรียญ 1 หรือ 2 ยูโร และเมื่อเก็บของเรียบร้อยแล้วก็ดึงกุญแจออกมาเก็บไว้กับตัว เมื่อเราชมเหมืองเกลือเสร็จมาไขกุญแจที่ตู้ เหรียญที่เราหยอดไว้ตอนแรกก็จะหล่นคืนเรามาค่ะg46g44g45เมื่อพร้อมแล้วเจ้าหน้าที่จะเรียกให้ไปนั่งรถรางและแจก Audio guide ภาษาไทยให้กับเรา คือไม่น่าเชื่อว่ามีออดิโอ้ภาษาไทยด้วย ดีงามมากค่ะ แล้วจะมีไกด์คนนำทาง 1 คน สปีคเยอรมัน พร้อมแล้วเราจะเริ่มออกเดินทางนั่งรถไฟขบวนเล็ก ๆ ผ่านเส้นทางใต้ดินลอดอุโมงค์ยาวกว่า 650 เมตร สู่เหมืองเกลือโดยเราจะได้รับฟังคำอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับการทำเหมืองเกลือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านทางออดิโอ้ โดยที่เราไม่ต้องกดปุ่มอะไรเลยค่ะ เมื่อถึงจุดที่ไกด์อธิบายก็จะมีเสียงพากย์ลอยขึ้นมาเอง
ไฮไลท์ของเหมืองเกลือคือการสไลด์ลงมาบนราง โดยเจ้าหน้าที่จะอธิบายว่าให้นั่งเกาะกันลงมาประมาณ 3-4 คน โดยคนหลังจับไหล่คนข้างหน้าไว้และเอนตัวลงมาด้านหลัง ทางที่ไหลมาค่อนข้างชัน ดูแล้วแอบหวั่น ๆ  แต่ ๆๆๆ พอเล่นจริงแล้วสนุกมากและก็แอบตื่นเต้นมากเช่นกัน ถือว่าเป็นกิจกรรมที่เข้าไปชมแล้วพลาดไม่ได้ สไลด์แรกยาว 34 เมตร ส่วนสไลด์ที่สองยาว 40 เมตรg31
ถือว่าเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่ทำได้ดีมาก ระยะเวลาเกือบชั่วโมงในเหมืองเกลือไม่มีเบื่อเลยค่ะ แต่ละจุดทำได้น่าสนใจ เทคนิคตระการตา แสง สี เสียงมาเต็ม ยิ่งเจอสไลด์แรกไปแล้วก็ใจจดใจจ่ออยากเล่นอีก ปิดท้ายด้วยล่องเรือสวย ๆ ในถ้ำเกลือ ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปได้  ถ้าอยากได้รูปสไลด์ก็รอซื้อได้หลังจากที่นั่งรถรางออกมาจากเหมืองแล้วค่ะ รูปละ 5 ยูโร ส่วนร้านขายของที่ระลึกก็มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเกลือให้เลือกซื้อกัน ทั้งเกลือสำหรับทำอาหาร ลูกอม สครับผิว สเปรย์g43g48g47g49ตรงนี้เป็นจุดที่เรานั่งรถไฟออกมาก่อนเดินไปคืนชุดค่ะa73

a74a75หลังจากนั้นก็เดินทางกลับซาล์ลสบวร์ก (Salzburg) พักที่นี่อีก 1 คืนค่ะ

รีวิวตอนต่อไป –> มิวนิค, พิพิธภัณฑ์ BMW , ปราสาทนอยชวานสไตน์และเมืองฟึสเซ่น

รีวิวเที่ยวยุโรปตะวันออก ตอนที่ 2: มิวนิค พิพิธภัณฑ์ BMW ปราสาทนอยชวานสไตน์ เมือง ฟึสเซ่น (Füssen)

บันทึก

บันทึก

One thought on “รีวิวเที่ยวยุโรปตะวันออก ตอนที่ 1 : ออสเตรีย บาวาเรีย เชค

  1. รีวิวดีมากเลยค่ะ ข้อมูลมีประโยชน์มาก ๆ จะมีจัดพาเที่ยวอีกหรือเปล่าคะ

Leave a comment