รีวิวเที่ยวอังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ ไอร์แลนด์และไอร์แลนด์เหนือ 16 วัน 15 คืน ตอนที่ 2

วันเดินทางที่ 5 : ดับลิน (Dublin)

เช้านี้ต้องออกเดินทางไปยังเมืองท่าโฮลี่เฮด (Holyhead) เพื่อขึ้นเรือโดยสารขนาดใหญ่ ไอริชเฟอร์รี่ (Irish Ferries) ข้ามไปเมืองดับลิน (Dublin) เมืองหลวงของประเทศไอร์แลนด์ (Ireland) ใช้เวลาเดินทางบนเรือประมาณ 01.50 ชั่วโมง อีกหนึ่งทางเลือกที่จะข้ามจากเกาะอังกฤษไปไอร์แลนด์ โดยเฉพาะคนที่มีรถหรือไม่อยากไปเสียเวลาที่สนามบิน การโดยสารด้วยเรือที่ยุโรปทันสมัยและค่อนข้างสะดวก รถบัสใหญ่ ๆ ที่เราใช้ก็สามารถนำข้ามไปได้ด้วยเลยค่ะ ตัวเราเองไม่ต้องลงจากรถเลยทั้งตอนออกจากอังกฤษและเข้าเมืองที่ไอร์แลนด์ เพียงแค่ยื่นเอกสารเกี่ยวกับการจองตั๋วเรือนี้ เจ้าหน้าที่ก็ปล่อยเราฉิวววว รถบัสขับขึ้นไปตรงที่จอดบนเรือเรียบร้อย ผู้โดยสารอย่างเราก็ออกจากรถ เดินขึ้นไปอยู่ด้านบนในส่วนห้องโดยสารรายละเอียดเรือเฟอร์รี่ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.irishferries.com/uk-en/to-ireland-from-britain/ (credit: irishmirror.ie)a88a85
บนเรือมีขายอาหาร เครื่องดื่ม ร้านขายของ ตู้เกมส์ กลางวันนี้เราก็ทานอาหารกันบนเรือค่ะ จะได้ประหยัดเวลาพอไปถึงไอร์แลนด์ก็จะได้เที่ยวกันเลย ก่อนเรือใกล้เทียบท่า เจ้าหน้าที่ก็จะแจ้งให้ทุกคนกลับไปที่รถ นั่งให้เรียบร้อย เมื่อเทียบท่าแล้วก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแต่เราไม่ต้องลงจากรถเหมือนเดิมค่ะ พาสปอร์ตก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจ สรุปแล้วเราก็ผ่านเข้าไอร์แลนด์กันสบาย ๆa86เมืองหลวงของไอร์แลนด์คือเมืองดับลิน (Dublin) ภาษาไอริชเรียกว่า Dubh Linn แปลว่า black pool หรือบ่อน้ำสีดำ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะ ถือว่าเป็นเมืองใหม่แต่ก็สามารถผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมในสมัยก่อนกับเทคโนโลยีในปัจจุบันถือว่าเป็นเมืองชั้นนำของยุโรป มีประชากรประมาณ 1.1 ล้านคน ถ้าจะมาไอร์แลนด์ประเทศเดียวก็ขอวีซ่าไอร์แลนด์ต่างหากนะคะ ไม่สามารถใช้วีซ่าสหราชอาณาจักรได้ และใช้สกุลเงินยูโร เงินปอนด์เก็บไว้ก่อนค่ะ เราจะเริ่มเที่ยวที่เมืองหลวงดับลิน แล้วค่อย ๆ วนไปทางตะวันตกและวนขึ้นเหนือไปไอร์แลนด์เหนือ สุดท้ายนั่งเรือไปที่สก็อตแลนด์ค่ะ (credit: pininterest.com) b18ที่แรกที่เราจะแวะเที่ยวกัน มหาวิหารเซนต์แพทริค (St.Patrick Cathedral)  a89
เมื่อ Saint Patrick หรือท่านนักบวชแพทริคได้เดินทางผ่านมาเมืองดับลิน ได้ทำพิธีล้างบาปในบริเวณใกล้เคียงกับที่มหาวิหารตั้งอยู่ จากนั้นจึงได้ทำการสร้างโบสถ์ไม้หลังเล็ก ๆ ขึ้น ต่อมาในปี ค.ศ. 1191 John Comym อาร์คบิชอบได้เลื่อนสถานะโบสถ์ให้เป็นมหาวิหาร ตัวมหาวิหารที่เราเห็นอยู่สร้างในศตวรรษที่ 12 เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปีในมีการบูรณะใหญ่ในช่วงปลายคริสตศักราชที่ 18 โดยตระกูล Guinness ปัจจุบันเป็นมหาวิหารประจำชาติของเหล่าคริสตจักรในไอร์แลนด์ ถือว่าเก่าแก่ ยิ่งใหญ่และดูขลังมากค่ะa90a91
ชมด้านในแล้ว ออกมาเดินเล่นกันต่อด้านนอก ยิ่งใครไปหน้าฤดูใบไม้ผลิ หน้าร้อน ก็จะมีดอกไม้สวย ๆ ปลูกเต็มแปลงอย่างนี้a93a92a94.
มุ่งหน้าสู่ถนนโอคอนเนล (O’Connell) และถนนแกรฟตอน (Grafton Street) ถนนช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงที่สุดมีความยาวกว่า 400 เมตร มีร้านค้าแบรนด์ดังมากมาย ผู้คนก็มากมายเช่นกัน เดินอยู่ในเมืองใหญ่คนเยอะแบบนี้ต้องระวังตัวกันนิดนึง ที่นี่ค่าครองชีพถูกกว่าฝั่งอังกฤษ ถึงจุดนี้เชิญแยกย้ายช้อปปิ้งกันตามสบายค่ะa95
คืนนี้เข้าพักกันที่ Hotel Crowne Plaza Blanchardstown เป็นโรงแรมใหม่ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับช้อปปิ้งมอลล์ขนาดใหญ่  Blanchardstown Centre มีทั้งร้านอาหาร ร้านค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต a96
วันเดินทางที่ 6 : ดับลิน – คาเชล – ลิมริค (Dublin – Cashel – Limerick)

ยังคงเที่ยวอยู่ที่เมืองดับลิน เช้านี้จะไปชมโรงงานเบียร์กินเนส (Guinness Storehouse) ต้องรีบไปแต่เช้าจะได้ไม่ต้องเผชิญคลื่นมหาทัวร์เพราะถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของไอร์แลนด์เลยค่ะ เอ๊ะ! เราก็มินิทัวร์เหมือนกัน ลืมไปเลย…รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ –> https://www.guinness.com/en-us/ b12โรงงานนี้ผลิตเบียร์ดำอันเลื่องชื่อระดับโลกที่มีอายุเก่าแก่กว่า 200 ปีมาแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ.1759 เมื่อ Authur Guinness อายุ 34 ปี ได้เซ็นสัญญาเช่าโรงกลั่นเบียร์ที่ไม่ได้ใช้แล้วที่ St. James’ Gate เมืองดับลิน ด้วยค่าเช่าปีละ 45 ยูโร เป็นเวลา 9,000 ปี อ่านไม่ผิดค่ะ เก้าพันปีจริง ๆ ><a97
สัญญา 9,000 ปี ฉบับจริงอยู่ในกรอบกระจกแทบฝ่าเท้าเรานี่เองa99
จะมีไกด์พาเราเข้าชมด้านใน และจะได้รับแจก Audio โดยไกด์จะพูดภาษาอังกฤษแล้วให้ไกด์ลูกพี่มือโปรของเราแปลเป็นภาษาไทยให้สมาชิกเราฟังอีกที โดยเริ่มจากชั้นล่างแสดงประวัติความเป็นมาจนไปถึงขั้นตอนการผลิตเบียร์จนเป็นที่โด่งดังระดับโลก ลักษณะอาคารทำเป็นรูปแก้วไพน์ มีทั้งหมด 7 ชั้น b8a98ส่วนผสมของเบียร์มี 4 อย่าง น้ำ ข้าวบาร์เลย์ ฮอพ (Hop) พืชชนิดหนึ่งและยีสต์ น้ำที่นำมาผลิตเบียร์ต้องเป็นน้ำจากแม่น้ำ St.Jame เท่านั้น ด้านในแสงสลัวเลยทำให้รูปเรามัวไปบ้าง…อย่าว่ากันนะคะ b1b3b4มีโซนให้ชิมเบียร์ดำด้วย ป้าเป็นเด็กดีเพราะกินไม่เป็นค่ะแต่คนที่ชิมแล้วบอกว่ากลมกล่อมมากb6b5
กินเนสเพิ่งฉลองครบรอบ 250 ปีไปเมื่อปี ค.ศ. 2009 มีการแสดงขวดเบียร์รูปทรงต่าง ๆ ทั่วโลกb9การจัดแสดงแต่ละชั้นต้องบอกว่าน่าสนใจเลยทีเดียวแถมได้ความรู้มาอีกเพียบb7และมาด้านบน มีโซนที่ให้เราได้ลองรินเบียร์ใส่แก้วไพน์เอง ดูแล้วไม่ยาก แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ง่ายนะคะ จะมีเจ้าหน้าที่สอนเราก่อนว่าจับแก้วยังไง กดเติมแค่ไหน ถึงตรงไหนต้องหมุนแก้วเพื่อไม่ให้ฟองเบียร์มากไปหรือล้นออกมาค่ะb10b11
อ้าวคนนั้นเติม ไหงกลายเป็นคนนี้รับ certificate แทนละค๊าb2
ไปกันต่อชั้นบนสุดที่ถือว่าเป็นจุดชมวิวเมืองดับลินได้ 360 องศา และเราสามารถเอาคูปองแลกเครื่องดื่มได้คนละแก้วค่ะ อย่ารีรอ…One Coke please มาโรงเบียร์แต่ขอโค้กซะงั้น ฝรั่งทำหน้าง้งงงb14b15
พื้นที่โรงงานช่างกว้างใหญ่นักb13
ลงมาชั้นล่าง อยากจะถ่ายป้ายนี้ตั้งแต่ตอนเข้าแต่คิวแน่นมาก รอไม่ไหวละค่า คิดซะว่ามีเพื่อนร่วมเฟรมจะได้ไม่เหงา >< ส่วนร้านขายของที่ระลึกก็อยู่ใกล้ ๆ กับป้ายนี้b16บ๊ายบายโรงงานเบียร์แบบมึน ๆ (มึนโค้กหรอจ้า) ได้ทั้งความสนุกและความรู้ การท่องเที่ยวมีประโยชน์ดี ๆ แบบนี้เอง ^^b17แวะทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารไทย Kanom เป็นร้านอาหารไทยจานด่วน ทานกันง่าย ๆ b19หลังจากนั้นเดินทางต่อไปยังเมืองคาเชล (Cashel) จะไปชมร็อคออฟคาเชลกันค่ะ (Rock of Cashel) ที่นี่ได้รับการขนานนามว่าเป็นอะโครโปลิสแห่งไอร์แลนด์ และได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติเมื่อปี ค.ศ. 1874 ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของดับลิน ในภาษาไอริชแปลว่า Stone Fort หรือป้อมปราการหิน รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ –> https://heritageireland.ie/places-to-visit/rock-of-cashel/ b20b21
ตามตำนานเล่าว่า ป้อมนี้สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 4-5 ต่อมาในปี ค.ศ. 432 St.Patrick ได้มาที่ Cashel และทำพิธีล้างศีลจุ่มให้แก่กษัตริย์แองกัส ถือว่าเป็นกษัตริย์องค์แรกในไอร์แลนด์ที่เป็นคริสเตียน ระหว่างที่ทำพิธีอยู่นั้นท่าน St.Patrick ได้ถอนใบ Shamrock ขึ้นมาพร้อมกล่าวว่า ใบ Shamrock 1 ใบ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน เปรียบเสมือนพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นศูนย์รวมของพระบิดา พระบุตรและพระจิต ตั้งแต่นั้นมา Shamrock จึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของชาวไอร์แลนด์ เป็นตัวแทนแห่งความโชคดีb22b23b24b25รูปนี้เป็นรูปปราสาทอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ กันb26b27
แต่ก่อนเป็นที่พำนักของพวกกษัตริย์เป็นเวลาหลายร้อยปีก่อนที่จะถูกพวก Norman ทำลาย ทำให้โครงสร้างเดิมเหลือน้อยมาก ในศตวรรษที่ 12-13 ได้มีการบูรณะใหม่โดยใช้เป็นศาสนาสถาน โครงสร้างแบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือ Hall of the Vicars Choral, Cathedral เป็นการสร้างแบบไม้มีหลังคาและไม่ทำพื้น, Round Tower, Cormac’s Chapel หลังจากนั้นก็ถูกไฟไหม้ ได้บูรณะขึ้นมาใหม่และก็ได้ถูกทำลายลงอีกครั้งด้วยกำลังของ Oliver Cromwell ประชาชนหลายร้อยคนที่พากันหลบหนีภัยวงครามได้มาซ่อนตัวในวิหารนี้ แต่สุดท้ายก็จบชีวิตลงไปพร้อม ๆ กับไฟที่โหมลุกไหม้ด้วยฝีมืออันโหดเหี้ยมของกองกำลังนี้ Rock of Cashel จึงเปรียบเสมือนสถานที่ย้ำเตือนความโหดร้ายจากภัยสงคราม เป็นเหมือนศูนย์รวมจิตใจและสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญของคนในยุคนั้น
b30b31b33ควีนเอลิซาเบธที่ 2 และดยุคแห่งเอดินเบอระก็เคยเสด็จมาที่นี่เมื่อปี ค.ศ. 2011b32จากนั้นก็เดินทางกันต่อไปพักที่เมืองลิมริค (Limierick) เมืองใหญ่อันดับ 3 ของไอร์แลนด์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแชนนอน คืนนี้พักกันที่ Hotel Clarion Limerick ค่ะb34วันเดินทางที่ 7 : หมู่บ้านอะแดร์ – Cliff of Moher – กัลเวย์ (Galway)

เช้านี้มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ขึ้นชื่อว่าสวยน่ารักที่สุดในไอร์แลนด์ นั่นก็คือหมู่บ้านอะแดร์ (Adare Village) ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงแล้วค่ะb36b35
ภาษาไอริชเรียกว่า Ath Dara หมายถึง Ford of the oak มีแม่น้ำ Maigue ตัดผ่าน จุดเด่นก็คงจะเป็นกระท่อมมุงหลังคาที่เรียกว่า Irish Thatched Cottages เป็นศิลปะการมุงหลังคาด้วยพืชแห้ง ไม่ว่าจะเป็นฟาง กก หรือหญ้าแห้งในสมัยโบราณ ซึ่งสามารถทนได้กับทุกสภาวะอากาศb38b37b39
ช่วงที่เราเดินทางเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิเลยได้เห็นดอกทิวลิปสวย ๆ เต็มไปหมด แต่ละบ้านมีคนอยู่จริง ๆ นะคะ ไม่ใช่บ้านจำลอง บางบ้านต้องติดป้ายไว้ว่า Privacy ขอเกาะแค่หน้ารั้วละกันค่ะb42
สวนสาธารณะใกล้ ๆ และถนนที่เลยขึ้นไปเป็นบ้านแบบปัจจุบันแล้วb40b41
ศูนย์บริการข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว มีร้านขายของที่ระลึก ผ้าพันคอแคชเมียร์ หมวก และของจุ๊ก ๆ จิ๊กๆ แสดงว่าเมืองนี้ก็ดังไม่น้อยนะเนี่ยb43
ช่วงบ่ายเราจะไปเที่ยวไฮไลต์ชื่อดังของไอร์แลนด์กัน ประหนึ่งว่าถ้ามาไอร์แลนด์แล้วไม่มาที่นี่แปลว่ามาไม่ถึงค่ะ ตรงนี้เป็นบริเวณจุดบริการนักท่องเที่ยว ก่อนที่เราจะเริ่มเดินไปชมหน้าผากัน โชคดีจริง ๆ ฟ้าใสมากกกกb44ทางเดินไปชมหน้าผาb45Cliff of Moher หรือหน้าผาโมเฮอร์ ในภาษาไอริชเรียกว่า Aillte an Mhothair เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของไอร์แลนด์ที่มีชื่อเสียง มีลักษณะเป็นหน้าผาสูง ตรงจุดที่สูงที่สุดมีความสูงถึง 214 เมตร ทอดตัวยาวกว่า 8 กม. บนชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค อยู่ในเขตเมือง Clare รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ –> https://www.cliffsofmoher.ie/ b46b48b49ซูมใกล้ ๆ จะเห็นทางเดินทอดยาวไปไกลมากกกกกb50ตรงจุดสูงสุดของหน้าผายังเป็นที่ตั้งของหอคอย O’Brien’s Tower ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1835 โดย Sir Cornellius O’Brien เพื่อใช้เป็นหอสังเกตการณ์ คอยสอดส่องดูแลนักท่องเที่ยว บ้างก็ว่าท่านสร้างเพื่อเอาใจหญิงสาวผู้เป็นที่รักb47b51
เราใช้เวลากันที่นี่ประมาณ 2 ชั่วโมง คนไหนเมื่อยก่อนก็ไปนั่งรอที่ศูนย์บริการ ด้านในมีการจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับหน้าผาโมเฮอร์ ทำเป็นวิดิทัศน์ก็มีนะคะหรือถ้าใครไม่อยากชมภาควิชาการก็ต้องที่นี่เลยค่ะ….ร้านขายของที่ระทึก (อีกแล้ว)
จากนั้นก็เดินทางมุ่งหน้าสู่ที่พักเราคืนนี้ที่เมืองกัลเวย์ (Galway) เมืองริมทะเลทางฝั่งตะวันตกของไอร์แลนด์ คืนนี้พักกันที่ Raddisson Blu Galway หลังอาหารเย็นแล้วก็เดินท่องราตรีกันต่อb52b53
วันเดินทางที่ 8: สลิโก – ลอนดอนเดอร์รี่ (Sligo – Londonderry)

วันนี้เราจะเดินทางข้ามพรมแดนไปฝั่งไอร์แลนด์เหนือแล้วค่ะ ช่วงเช้าเลยนั่งรถกันนานหน่อย เราเลือกแวะพักยืดเส้นยืดสายที่เมืองสลิโก (Sligo) อีก 1 เมืองเล็ก ๆ ในไอร์แลนด์และทานอาหารกลางวันกันที่นี่ค่ะb55b56
เมืองเล็ก ๆ เงียบ ๆ อีกเมือง เรามีเวลากันประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนทานอาหารกลางวัน หลายคนก็เลือกไปช้อปปิ้งตามร้านค้าที่เปิดเป็นช็อปอยู่เรียงกันไปตามถนนเส้นเล็กๆ หากันได้ตามร้าน Boots หรือไม่ก็ซุปเปอร์มาร์เก็ตค่ะ  ที่สำคัญเราได้ซื้อ Dental floss ยี่ห้อ Oral-B เห็นมาตั้งแต่ใช้ที่เมืองไทยแล้วว่า Made in Ireland มาถึงไอร์แลนด์แล้วก็อย่าเสียเที่ยว ซื้อกันสด ๆ ที่นี่เลยค่ะ ส่วนราคาก็พอ ๆ กับบ้านเราb54บรรยากาศร้านอาหารอิตาเลี่ยน ฺBistro Bianconi Restaurant อร่อยทั้งพิซซ่าและสปาเก็ตตี้ค่ะ ไม่เคยถ่ายอาหารทันเล้ยยยยจริง ๆ 555b57
ช่วงบ่ายจากเมืองสลิโก (Sligo) ไปไอร์แลนด์เหนือ สู่เมืองลอนดอนเดอร์รี่ (Londonderry) เมืองใหญ่อันดับ 2 ของไอร์แลนด์เหนือ ตั้งอยู่บนปากแม่น้ำฟอยล์ (Foyle) ใช้เวลาแค่เพียง 02.30 ชั่วโมง ถ้าคนขับรถไม่หันมาบอกเราว่าข้ามประเทศมาแล้ว เชื่อได้ว่าไม่มีใครรู้แน่ ๆ เพราะมีเพียงป้ายเล็ก ๆ บอกไว้ตรงข้างทางเท่านั้น ไม่มีผ่านด่าน ต.ม. นะคะb58
เมืองลอนดอนเดอร์รี่ (Londonderry) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Derry เป็นเมืองเดียวในไอร์แลนด์ที่ยังคงมีกำแพงเมืองหลงเหลือให้เห็นอย่างสมบูรณ์ เป็นตัวอย่างให้เห็นถึงอดีตที่จะมีกำแพงล้อมรอบเมืองในยุโรป ตัวกำแพงสร้างขึ้นมาราวปี ค.ศ. 1613-1618 เพื่อใช้เป็นแนวป้องกันผู้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในยุคแรก ๆ จากอังกฤษและสก็อตแลนด์ แนวกำแพงยาว 1.5 กม. มีทางเดินอยู่รอบด้านในค่ะb59
ยังคงมีปืนใหญ่หลงเหลือให้เราเห็นอยู่b60
เราเดินไต่กำแพงไปเรื่อย ๆ สักพัก จะเห็นบ้านเรือนผู้คนที่นี่มากมาย แต่แล้วฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจ ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ เลยต้องกระโดดลงจากกำแพง แวบกันเข้าไปในร้านหลบฝนดีกว่า..อิอิ.. b61b62
ในปี ค.ศ. 2013 ได้รับเลือกให้เป็นเมืองทางวัฒนธรรมเมืองแรกของสหราชอาณาจักรและติดอันดับที่ 4 ของเมืองที่น่าเที่ยวที่สุดในโลกในปี ค.ศ. 2013 ของ Lonely Planetb63
สะพานสันติภาพ บริเวณแม่น้ำฟอยล์b64
คืนนี้พักกันที่ Hotel The Belfry Country โรงแรมเล็ก ๆ แต่น่ารักและอบอุ่นมาก เราแจ้งล่วงหน้าไม่กี่วันว่าเราจะจัด Birthday Party ให้กับหนึ่งในสมาชิกเดอะแก๊งค์เรา ทางโรงแรมก็เต็มที่เลยค่ะb65
ฮาเฮกันตลอด แม้แต่คนขับรถเรา ทานเสร็จแล้วยังนั่งอยู่กับเราจนเกือบเลิก อาหาร ไวน์ เบียร์ เค้ก ขนมหวาน จนเราต้องบอกเค้าว่าขนมหวานไม่ต้องเสิร์ฟแล้วก็ได้ เหลือแล้วเสียดาย เยอะมากจริงๆ b66
ห้องสวีท sweet จริง ๆ ตกแต่งได้เก๋ไก๋มากกก เจ้าหญิงขอเข้านอนก่อนนะคะ zzzzzb67b68
วันเดินทางที่ 9: Giant’s Causeway – เบลฟาสต์ (Belfast)

เที่ยวกันมาครึ่งทางแล้วค่ะ ตอนนี้เราอยู่กันที่ไอร์แลนด์เหนือ อยู่บนเกาะเดียวกับประเทศไอร์แลนด์ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะ แต่ไอร์แลนด์เหนือ คือ 1 ใน 4 เขตปกครองของสหราชอาณาจักร ปัจจุบันไม่เกี่ยวกะไอร์แลนด์แล้วนะคะ แค่อยู่บนเกาะเดียวกันเฉย ๆ พื้นที่ติดกับไอร์แลนด์ทั้ง 3 ด้าน แบ่งเป็น 6 counties มีประชากรประมาณ 1.7 ล้านคน เมืองหลวงคือเมืองเบลฟาสต์(Belfast) คนที่นี่พูดภาษาอังกฤษ ภาษาไอริช และภาษาสก็อตแบบ Ulster Scots (ออกแนวเหน่อ ๆ หน่อย) เช้านี้จะไปเที่ยว Giant’s Causeway  อีก 1 ไฮไลต์ที่เที่ยวของไอร์แลนด์เหนือ เมื่อเราไปถึงศูนย์บริการข้อมูล ต้องนั่งรถ shuttle bus ต่อเข้าไปอีกประมาณ 5 นาที หรือถ้าใครใคร่เดินก็สามารถเดินได้ ไม่ว่ากัน ในรูปนี้คือจุดที่รถบัสจอดส่งเราแล้วค่ะb71b69b78Giant’s Causeway ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1986 ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของประเทศ มีหินสี่เหลี่ยม ห้าเหลี่ยม หกเหลี่ยม เรียงกันอยู่มากกว่า 40,000 ก้อน เป็นหินบะซอลต์คือหินอัคนีพุที่พบได้ทั่วไป มักพบมีสีเทาดำ มีเนื้อละเอียดเนื่องจากการเกิดการเย็นตัวของลาวาอย่างรวดเร็วลงบนพื้นโลก ตามหลักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า หินเหล่านี้เกิดจากการเย็นตัวของหินภูเขาไฟเมื่อประมาณ 60 ล้านปีที่แล้ว และทำปฎิกิริยากับความเย็นของมหาสมุทรแอตแลนติค เนื่องจากเย็นตัวไม่พร้อมกัน หินจึงมีลักษณะแตกต่างกันออกไป
b72ส่วนชื่อ Giant’s Causeway หรือทางเดินของยักษ์ก็ได้ชื่อมาจากตำนานของไอริชที่เล่าว่า ยักษ์ไอริชชื่อ Fin Macool สร้างถนนข้ามไปยังฝั่งสก็อตแลนด์เพื่อสู้กับยักษ์อีกคนหนึ่งชื่อ Benaadonner ซึ่งยักษ์ทั้ง 2 ไม่เคยพบกัน มาวันหนึ่งเมื่อถนนสร้างเสร็จ พี่ยักษ์ไอริชบังเกิดเห็นยักษ์สก็อต เกิดความกลัวจึงกลับมาบ้านและบอกภรรยา มาดาม Oonagh ให้หาที่ซ่อนตัว ภรรยาจึงแต่งตัวสามีให้เหมือนทารกและให้นอนอยู่บนเปล ฝ่ายยักษ์สก็อตก็ตามมาที่บ้าน มาดามจึงบอกไปว่าสามีไม่อยู่บ้าน เมื่อยักษ์สก็อตเห็นเบบี๋ที่อยู่กับมาดาม ทำให้คิดว่าพี่ฟินน์ต้องตัวใหญ่มาก ๆ ขนาดเบบี๋ยังตัวใหญ่ขนาดนี้ พี่ยักษ์สก็อตจึงหนีข้ามฝั่งไปสก็อตแลนด์ และระหว่างทางก็ได้ทำลายสะพานทิ้งเพราะกลัวยักษ์ไอริชจะตามมา ส่วนหลักฐานว่าทำไมยักษ์ไอริชอยู่ที่นี่ก็คือรองเท้าหิน ที่ว่ามีขนาดไซส์ 66 นิ้ว พี่ยักษ์สก็อตจึงหนีเผ่นป่าราบ แต่ก็มีอีกข่าวเม้าท์ว่ายักษ์ไอริชกลัวยักษ์สก็อตเลยถอดรองเท้าจะได้วิ่งได้เร็วขึ้นb70b76เดินขึ้นไปชมวิวจากทางด้านบนกันต่อค่ะ แต่วันนี้มีฝนตกมาปรอย ๆ แถมลมแรง ๆ มาอีกต่างหากb73b77b79ทางเดินกลับb74b75ใช้เวลาอยู่ที่บริเวณริมหาดประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ก็รอนั่งรถบัสกลับไปที่ศูนย์บริการข้อมูล ที่นี่มีร้านขายของที่ระลึกด้วยนะคะ ได้เวลาแล้วออกเดินทางกันต่อไปยังเมืองหลวงของไอร์แลนด์เหนือคือกรุงเบลฟาสต์ค่ะ และเราจะแวะเที่ยวกันที่ศูนย์แสดงนิทรรศการเบลฟาสต์ไททานิค รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ –> https://www.titanicbelfast.com/ b81
เรือไททานิคลำประวัติศาสตร์นี้ได้ต่อขึ้นที่อู่ต่อเรือฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟ์ เมืองเบลฟาสต์ ประเทศไอร์แลนด์เหนือนี่เอง ซึ่งได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 1909 แบ่งเป็นทั้งหมด 9 ชั้น
เส้นทาง : ท่าเรือ South Thampton ประเทศอังกฤษ ไปยังเมืองแชร์บูรก์ ประเทศฝรั่งเศสเพื่อรับผู้โดยสารและไปยังท่าเรือเมือง Queenstown ไอร์แลนด์ และปลายทางที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา บรรทุกผู้โดยสารทั้งหมด 2,208 คน โดยในนี้รวมลูกเรือ 891 คน ลูกเรือมีทั้งคนครัว บริกร แพทย์ กลาสี ช่างไฟ ช่างน้ำมัน คนเติมถ่านหิน บัญชี เสมียน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แม่บ้าน พนักงานซักล้างb82
ด้านในมีการจัดแสดงได้น่าสนใจ มีการแสดงเรื่องราวของคนในยุคนั้น ๆ ทั้งโปสเตอร์ หนังสือพิมพ์ สื่อโฆษณาต่าง ๆ แสดงเป็นแบบ Multimedia หรือจำลองห้องบนเรือให้เราได้ดูกันb85
เงินทุนของโครงการนี้ได้มากจากนายธนาคารชาวอเมริกันชื่อ นาย J.P. Morgan ผู้เป็นทั้งเจ้าของบริษัทเรือเดินสมุทรไวท์สตาร์ไลน์ (White Star Line Shipping Co) ถือได้ว่าเป็นเรือโดยสารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา อีกทั้งเป็นเรือที่มีความหรูหราที่สุดและใช้งบประมาณในการสร้างมากที่สุดในสมัยนั้น ทุ่มทุนสร้างไป 7,500,000 ดอลล่าร์และค่าตกแต่งอีก 2,500,000 ดอลล่าร์ รวมเป็น 10 ล้าน US dollar เปรียบเทียบค่าเงินปัจจุบันราว 400 ล้านดอลล่าร์ หรือราว 2 หมื่นล้านบาทb83b84รวมถึงความทันสมัยและเทคโนโลยีต่าง ๆ ด้านในมีทั้งห้องสมุด ห้องสูบบุหรี่ ห้องยิม ร้านกาแฟ สระว่ายน้ำ และเป็นเรือที่มีค่าโดยสารแพงที่สุด แบ่งออกเป็นผู้โดยสารชั้นหนึ่ง ชั้นสอง และชั้นสาม โดยจะแบ่งสัดส่วนกันไว้ชัดเจน ผู้โดยสาร First Class ค่าตั๋วเริ่มตั้งแต่ 26 ปอนด์ หรือ 2400 ปอนด์ในปัจจุบัน ก็ราว ๆ 122,000 บาท ไปจนถึงหลายร้อยปอนด์ ตั๋วที่แพงที่สุดขายที่ 512 ปอนด์ (48,000 ปอนด์ หรือ 2.4 ล้านบาท) ขายได้ 4 ใบให้กับสามี ภรรยา ที่เดินทางพร้อมผู้รับใช้และแม่บ้านส่วนตัว
ห้องแพงที่สุดบนเรือเป็นห้องชุดพิเศษ คุณภาพสมราคาทั้ง 2 ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องพักผ่อนส่วนตัว ห้องแต่งตัว ห้องน้ำส่วนตัวb86
ผู้โดยสาร First class มีทั้งหมด 325 คน เป็นชาย 175 คน หญิง 144 คนและเด็ก 6 คน ทั้งนี้ผู้รอดชีวิตเป็นชาย 57 คน หญิง 140 คนและเด็ก 5 คน หนึ่งในนั้นก็คงเป็นโรส นางเอกชื่อดังรวมอยู่ด้วย
ผู้โดยสารชั้นสอง ; ราคาราว ๆ 10-30 ปอนด์ เทียบเงินไทยในปัจจุบันราว ๆ 50,000-75,400 บาท ห้องพักก็คล้าย ๆ กับพักที่โรงแรมทั่ว ๆ ไป
ผู้โดยสารชั้นสาม : ราคาเริ่มที่ 3-9 ปอนด์ เงินไทยในปัจจุบันราว ๆ 15,000 บาท ก็จะถูกจำกัดสิทธิ์ต่าง ๆ ไม่ว่าห้ามใช้ลิฟท์หรือขึ้นดาดฟ้า ชั้นที่หนุ่มแจ๊คสุดหล่อในหนังเรื่องไททานิคโดยสารไงคะb87ไททานิค เรือยักษ์ขนาดใหญ่กลับมีเรือชูชีพ Life boat เพียง 20 ลำ แต่เดิมออกแบบมาสำหรับเรือชูชีพ 32 ลำแต่ถูกตัดออกเนื่องจากเห็นว่าเกะกะ ซึ่งเพียงพอสำหรับผู้โดยสารเพียง 1,178 คนเท่านั้น จึงทำให้มีผู้โดยสารรอดชีวิตเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น
ในวันที่ 10 เมษายน 1912 : เมื่อไททานิคพร้อมที่จะออกเดินทางไปนิวยอร์ก จากท่าเรือ South Thampton ประเทศอังกฤษ โดยกัปตัน Edward J. Smith ซึ่งถือว่าเป็นกัปตันเรือที่เก่งกาจและมีค่าตัวแพงที่สุดในยุคนั้น และหลังการเดินทางเที่ยวนี้ก็จะเกษียณเป็นการสั่งลาอาชีพกัปตันเรือ และมีผู้มีชื่อเสียงได้ร่วมเดินทางในครั้งนั้น เช่น จอห์น เจคอบ แอสเตอร์ ที่ 4 (John Jacob Aster the fourth) และภรรยา , นักอุตสาหกรรมอย่าง เบนจามิน กูเกนไฮม์ (Benjamin Guggenheim) เจ้าของห้างแมซี่ อิสสิดอร์ สเตารส์ และภรรยา รวมถึงเศรษฐีนีอย่าง Molly Brown
ช่วงวันแรก ๆ ของการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้โดยสารต่างรื่นเริงบันเทิงใจกับการเดินทางอันหรูหราb91
**ในวันที่ 14 เมษายน มีแพลนที่ต้องซักซ้อมการใช้เรือชูชีพ โดยผู้โดยสารต้องซักซ้อมด้วยแต่ก็ได้ยกเลิกไป
ห้องรับส่งวิทยุโทรเลขบนเรือ จุดประสงค์หลักมีไว้เพื่อบริการผู้โดยสาร เนื่องด้วยการเดินทางโดยเรือแต่ละครั้งใช้เวลานาน ดังนั้นการติดต่อกับผู้โดยสารบนบกจึงเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนการใช้เพื่อประโยชน์ของการเดินเรือเป็นเรื่องรอง ทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานกันหนักมาก
ส่วนกัปตันก็ได้สั่งเดินเรือเต็มที่เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของผู้จัดการ White Star ที่ต้องการทำเวลาให้ไปถึงนิวยอร์กก่อนกำหนด
ไททานิคได้รับวิทยุโทรเลขเตือนเรื่องภูเขาน้ำแข็งในเส้นทางเดินเรือถึง 7 ครั้ง จากเรือเดินสมุทรต่าง ๆ และที่ร้ายก็คือเวลา 21.45 น. ไททานิคได้รับวิทยุโทรเลขเตือนว่ามีภูเขาน้ำแข็งและน้ำแข็งกระจัดกระจายอยู่ในเส้นทางด้านหน้า แต่พนักงานวิทยุโทรเลขไม่ได้ส่งข้อความนั้นให้แก่กัปตันเรือหรือเจ้าหน้าที่คนอื่นเลยเพราะมัวแต่ยุ่งกับการส่งวิทยุโทรเลขให้กับผู้โดยสาร
b88
เวลา 23.40 น. เมื่อไททานิคกำลังเดินทางผ่านทางใต้ของนิวฟาวน์แลนด์ ประเทศแคนาดา เจ้าหน้าที่เฝ้ายาม สังเกตเห็นภูเขาน้ำแข็งขวางเส้นทางเดินของเรืออยู่ ถึงแม้จะได้พยายามหักเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทางให้เรือไททานิคแล้ว แต่ภูเขาน้ำแข็งก็ได้สร้างความเสียหายให้กับด้านข้างของเรือและเริ่มมีน้ำทะลักเข้ามาในเรือ หลังเที่ยงคืนไม่นาน กัปตันก็สั่งอพยพลูกเรือ แต่ผู้โดยสารส่วนมากก็ไม่เชื่อเพราะก่อนหน้านี้เรือไททานิคได้โปรโมตไว้อย่างดิบดีว่าไม่มีวันจม บางคนยังนั่งกินเลี้ยง เล่นไพ่ ดื่มไวน์ ลูกเรือก็เริ่มเตรียมพร้อมทั้งเรือชูชีพและส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไป เรือลำใกล้ที่สุดที่ได้รับสัญญาณของความช่วยเหลือจากไททานิค RMS Carpathia อยู่ห่างออกไปถึง 4 ช.ม. ซึ่งก็นานเกินไป เพราะวิศวกรบอกว่าเรือลอยอยู่ได้ไม่ถึง 4 ช.ม. แน่ ๆb92
ผ่านไปเกือบชั่วโมงครึ่งครึ่ง กว่าผู้โดยสารและลูกเรือจะเชื่อกันว่าจมแน่ ๆ จนเกิดความโกลาหลในการแย่งกันขึ้นเรือบด มีสุภาพบุรุษหลายคนที่ให้ผู้หญิงและเด็กขึ้นไปก่อน แต่ก็มีผู้ชายหลายคนที่แย่งขึ้นเรือ ส่วนที่น่าชื่นชมก็น่าจะเป็นนักดนตรีที่เล่นดนตรีเพื่อผ่อนคลายความเครียดไปจนนาทีสุดท้ายของชีวิต
ประมาณตี 2 เรือบดถูกปล่อยลงน้ำหมดแล้ว แต่ยังเหลือผู้โดยสารกว่า 1,500 คนบนเรือ ท้ายเรือก็ยกขึ้นสูงเรื่อย ๆ หลายคนหวาดกลัวก็กระโดดลงเพื่อหวังจะไปเรือบดด้านล่าง แต่ส่วนใหญ่ก็เสียชีวิตก่อน ส่วนเรือบดเองก็พยายามหนีให้ห่างที่สุด ด้วยกลัวที่จะถูกดูดเข้าไปในจังหวะที่เรือกำลังจะจมb89
ในที่สุดโครงสร้างเรือหักออกเป็น 2 ท่อน และทั้งสองส่วนนี้ก็จมลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติคเมื่อเวลา 02.20 น. ผู้โดยสารส่วนมากลอยคอด้วยเสื้อชูชีพ แต่ด้วยน้ำที่มีความเย็นจัด ผู้โดยสารที่ลอยคอก็หนาวตายไปเรื่อย ๆ ส่วนเรือบดก็อยากที่จะเข้าไปช่วยแต่ก็เสี่ยงเกินกว่าจะเข้าไปถูกรุมได้ ประมาณตี 3 เสียงต่าง ๆ ก็เงียบกริบ ผู้โดยสารเสียชีวิตทั้งหมด 1,514 ศพ จำนวนผู้รอดชีวิตส่วนมากเป็นผู้หญิงและเด็ก รวมถึงผู้โดยสารชั้น First Class เพราะได้รับการช่วยเหลือก่อน เรือ RMS Carpathia มาถึงจุดเกิดเหตุประมาณตี 4 เพื่อรับผู้รอดชีวิตจากเรือไททานิคไปส่งที่นิวยอร์ก
จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เกิดประเด็นต่าง ๆ มากมาย จนได้มีการออกกฎหมายใหม่เพื่อทำให้เรือเดินสมุทรมีความปลอดภัยมากขึ้น
ส่วนซากเรือได้ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1985 โดยโครงทั้ง 2 ส่วนยังอยู่ในสภาพค่อนข้างดี รวมถึงของใช้บนเรือต่าง ๆ อย่างจานชาม เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ อย่างไรก็ตามหลังจากจมอยู่ก้นบึ้งมหาสมุทรมานาน จึงคาดการณ์กันว่าซากเรือจะถล่มลงภายในไม่กี่ทศวรรษนี้b90
หลังจากเยี่ยมชมได้ทั้งความรู้และความประทับใจ เราก็แวะถ่ายรูปกันที่ตึกอิฐแดงซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยกลางกรุงเบลฟาสต์ และบริเวณรอบๆb93b95b94b96
คืนนี้เข้าพักกันที่ Radisson Blu Belfast ค่ะ

ตอนต่อไปรีวิวเที่ยวสก็อตแลนด์ : https://dreamfirsttrip.wordpress.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C-%E0%B8%81/

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

Leave a comment