หลังจากส่งสมาชิกบางส่วนกลับกรุงเทพแล้ว เหลือที่จะไปตะลุยเที่ยวเชคกันต่ออีก 10 คน เราก็เลยเลือกใช้บริการของ ckshuttle ซึ่งเป็นบริการรถส่วนตัวแบบ door-to-door คือมารับเราตามที่จุดนัดหมายอย่างเช่น จากโรงแรมเมืองนึงไปยังอีกเมืองนึง ซึ่งต้องบอกว่าสะดวกมากค่ะ เราได้จองเป็นรถตู้สำหรับ 7 คน ซึ่งเป็นรถไซส์ใหญ่สุดและรถเก๋งอีก 1 คัน สำหรับ 3 คน สำหรับเรื่องการชำระเงินก็จะมีค่ามัดจำโอนบางส่วนตั้งแต่อยู่เมืองไทยและส่วนที่เหลือไปชำระกับคนขับรถ รับทั้งสกุลยูโรและ CZK (credit : ckshuttle.com) หรือการเดินทางด้วยรถส่วนตัว รถบัสก็มีเจ้าอื่นเหมือนกันอย่าง bean shuttle (www.beanshuttle.com) หรือ student agency (www.studentagency.eu) หรือ .cz ก็ได้ค่ะ ซึ่งอันหลังนี่ไม่จำเป็นต้องเป็นนักเรียนก็ใช้บริการได้นะคะ เป็นชื่อบริษัทเฉย ๆ
วันเดินทางที่สิบสอง : คนขับรถมารับเราตามเวลาที่นัดไว้ที่โรงแรม Radisson Blu Vienna และจะขับไปส่งเราที่โรงแรม Grand Majestic Plaza ใจกลางกรุงปราก ตั้งอยู่ในเขตโซน 1 ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 4 ชั่วโมงกว่า ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ ยาว ๆ ไปค่ะ เหตุผลที่เลือกโรงแรมนี้เพราะตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่าฝั่ง Old Town เดินไปไหนก็สะดวก ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร มีสถานีรถไฟใต้ดินอยู่ข้าง ๆ โรงแรม เพราะอยู่ที่ปรากเราไม่ได้เช่ารถกันค่ะ ใช้พาหนะ 2 ขาเรากับรถไฟใต้ดิน รถรางเท่านั้น ไปเช็คอินที่โรงแรม เก็บกระเป๋ากันเรียบร้อยแล้ว ก็ออกไปแลกเงินจากสกุลยูโรเป็นเชคคราวน์ (CZK) กันก่อน การแลกเงินที่เชคควรระวังกันด้วยนะคะ เพราะบางร้านจะมีเขียนคำว่าคอมมิชชั่นเล็ก ๆ ไว้ด้านล่าง ทำให้เราไม่ได้เรทตามที่เห็น ดังนั้นก่อนแลกควรเช็คให้ดี ๆ ก่อนว่าร้านที่แลกมีค่าคอมมิชชั่นหรือเปล่า (1 CZK ประมาณ 1.5 บาท) เดินไปนิดเดียวก็ถึงห้าง Palladium ห้างชื่อดัง ขาช้อปสนุกแน่ ๆ มีร้านค้าเยอะมากกก ส่วนร้านอาหารจะอยู่ชั้น 4 มีทั้งอาหารญี่ปุ่น อิตาเลี่ยน อาหารสไตล์มองโกเลี่ยน, KFC, McDonald, ร้านเบเกอรี่ เลือกกันได้ตามสบายหลังจากนั้นช่วงบ่ายก็เป็นโปรแกรมย่อยอาหาร จะไปเดินเที่ยว Powder gate, Wanceles square และจบด้วย Old town square ทั้งหมดนี้สามารถเดินถึงกันได้หมด ขอเอาแผนที่มาแปะให้ดูคร่าว ๆ เพื่อความกระจ่างนิ้ดนึงค่ะ โรงแรมเราอยู่ตรงขวามือของแม่น้ำวัลตาวา ใกล้ ๆ กับหมายเลข 2 (Municipal House) ซึ่งถ้าเดินมาจัตุรัสเมืองเก่า (Old town square) เบอร์ 4 ก็นิดเดียวค่ะ (credit : national geographic)
1. Power Tower หรือหอคอยดินปืน
2. Municipal House ศาลาประชาคม
3. House of the Black Madonna อาคารสร้างในปี คศ 1912 ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะและร้านคาเฟ่
4. Old Town Square จัตุรัสเมืองเก่า
5. Church of our Lady before Tyn หรือ Tyn Church โบสถ์แม่พระ
6. Old Town Hall ที่ตั้งของนาฬิกาดาราศาสตร์ประจำเมือง (ค่าชมวิว 100 CZK)
7. หอนาฬิกาดาราศาสตร์
8. อนุสาวรีย์ของนักปฎิรูปศาสนายาน ฮุส
9. ถนน Karlova เขตเมืองใหม่และจัตุรัสเวนเซลลัส
ออกจากห้างพาลาเดียม เดินมาทางด้านซ้ายไม่ถึง 5 นาที ก็จะเจอกับ Municipal House ศาลาประชาคม อยู่ทางด้านขวามือ เป็นอาคารสไตล์อาร์ตนูโวที่สวยงาม ออกแบบโดย Alphon Mucha ศิลปินเชคที่โด่งดังที่สุด ด้านในเป็นที่จัดคอนเสิร์ตและมีคาเฟ่ชื่อดัง ส่วนถ้ามองมาทางด้านซ้ายมือจะเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต Billa
Powder gate หรือหอคอยดินปืน สร้างมากว่า 500 ปีแล้ว สมัยก่อนเป็นที่เก็บดินปืน จุดนี้ถือว่าเป็นจุดแบ่งเขตระหว่างเมืองใหม่และเมืองเก่า ว่ากันว่าเมื่อเดินผ่านหอดินปืนให้กลั้นหายใจแล้วอธิษฐาน จะสัมฤทธิ์ผล โอมเพี้ยง…..
เรายังไม่เลี้ยวเข้าไปทาง Powder gate แต่เดินตรงไปเรื่อย ๆ ตามถนน Na Prikope ถนนเส้นนี้มีร้านช้อปปิ้งเรียงรายมากมายทั้ง Zara, H&M, Bershka เดินไปจนเห็นร้าน New Yorker ใหญ่ ๆ ตรงหัวมุม มองไปทางด้านซ้ายก็คือ Wencelas Square (จัตุรัสเวนเซลลัส) ถนนเส้นนี้ปัจจุบันก็เป็นถนนช้อปปิ้ง ร้านค้า ร้านอาหารมากมาย มีร้านบาจา ร้านใหญ่ตั้งอยู่ที่นี่ด้วย รองเท้ายี่ห้อนี้มีต้นกำเนิดที่ประเทศเชค ไม่ใช่เมืองไทยเหมือนที่เข้าใจมาตั้งแต่เด็ก ๆ ที่ได้สร้างขึ้นตามพระประสงค์ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 ที่ต้องการขยายเมืองต่อจากเขตเมืองเก่าไปเมือง 600 กว่าปีมาแล้ว โดยมีศูนย์กลางคือจัตุรัสเวนเซลลัส ที่มีตำนานในการเรียกร้องอิสรภาพ ณ ตรงจุดนี้มาตลอด ตรงกลางมีอนุสาวรีย์เจ้าชายเวนเซลลัส ผู้ที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติมากมายแต่ไม่ได้ขึ้นครองราชย์เนื่องจากถูกน้องชายฆ่า ด้านหลังเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ด้านซ้ายเป็นโรงละคร Prague State Opera
ตรงข้ามร้านบาจาคือตึก Koruna ด้านบนมีสัญลักษณ์เป็นมงกุฎ ตั้งอยู่หัวมุมระหว่างถนน Na Prikope กับ Wencelas squareนัดเจอกับน้องอ้อมสาวสวย เจ้าของ Europe for thai ไกด์คนไทยที่อาศัยอยู่ที่เชค รับพาเที่ยวยุโรปแบบกรุ๊ปเล็กโดยรถตู้ทริปละไม่เกิน 7 คนหรือรถมินิบัส 20 ที่นั่ง รับกรุ๊ปละไม่เกิน 16 คน ตอนนี้มีเส้นทางออสเตรีย-เชค-สโลวาเกีย-ฮังการี 8 วัน 7 คืน และเยอรมนีตอนใต้ 9 วัน 8 คืน ส่วนเส้นทางอื่น ๆ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ FB: Europeforthaitour หรือ http://www.europeforthai.com ค่ะถ้าเป็นช่วงเทศกาลอีสเตอร์ วันชาติเชค เทศกาลคริสต์มาส บริเวณนี้ก็จะมีการออกร้านทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารแบบทานง่าย ๆ อย่างไส้กรอก หมูย่าง หรือขนมปังย่างชื่อดังของเชคที่เรียกว่า Trdelnik (เทรอ-เดล-นิค) คือขนมปังที่ทำมาจากแป้งโด แล้วเอามารีด นำมาม้วนเข้ากับเกลียวท่อนเหล็กแล้วย่างบนเตาถ่าน หลังจากนั้นก็โรยด้วยน้ำตาล ซินเนม่อน หรือจะเป็นวิปครีม ไอศครีมก็ว่ากันไปแล้วแต่ร้านค่ะ ขนมปังแบบนี้ไม่ได้มีแค่ที่เชค ถ้าไปเที่ยวแถบยุโรปตะวันออกก็จะเห็นมีขายแทบทุกประเทศแวะเข้าร้านโน้นร้านนี้ แล้วก็ไปจบกันที่ร้านอาหาร Modry Zub ถนน Jindřišská มีโซนแบ่งเป็นพนักงานเสิร์ฟด้านหน้า หรือ self-service ด้านใน เป็นร้านอาหารไทย มีทั้งกะเพราไก่ กะเพราเนื้อ ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยว ต้มยำ ผัดไทย พ่อครัวเป็นคนเอเชีย คนไทยก็มีนะคะ สปีคไทยกันได้เลย ร้านนี้มีหลายสาขานะคะ รายละเอียดต่าง ๆ เวลาเปิด-ปิด ตามเวบไซต์เลยค่ะ –> http://www.modryzub.com/en/jindrisska เดินย้อนกลับไปทางร้าน New Yorker แล้วเดินตรงต่อไปตามถนน Na Můstku จะเจอกับตลาด Havelské tržiště เป็นตลาดเก่าแก่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปรากมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1232 เปิดทุกวันตั้งแต่ 07.00-19.00 ยกเว้นวันอาทิตย์ตั้งแต่ 08.00-18.30 มีขายผัก ผลไม้ และของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว
ที่สำคัญของฝากขึ้นชื่อของเชค นอกจากเครื่องแก้วแล้ว เราขอชิ้นย่อม ๆ หน่อยละกันค่ะ นั่นคือตะไบเล็บที่เป็นคริสตัลสวยงาม มีทั้งขนาดเล็ก กลางใหญ่ คริสตัลเยอะ คริสตัลน้อย เลือกกันสนุกมากกก แต่บอกก่อนนะคะว่าถ้าอยากได้ราคาที่ถูก ต้องไปซื้อที่เมืองคาร์โรวี วารีค่ะ
ข้าง ๆ ตลาดมีร้าน Zebra Asia noodles Bar คล้าย ๆ กับร้าน Modry Zub ขายอาหารไทย อาหารเอเชีย มีเชฟไทยเหมือนกัน ที่อร่อยเลยก็ต้องกะเพราไก่ ไข่ดาว เดินต่อไปทางด้านซ้ายของร้านไปตามถนน Melantrichova ก็จะเจอกับร้าน Manufaktura อยู่ทางด้านซ้ายมือ ร้านนี้ขายผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ ทั้งครีม แฮนด์ครีม ยาสระผม ครีมนวดผม สบู่อาบน้ำ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ครีมโกหนวด เป็นเหมือนสินค้าโอทอปของประเทศเชค กลิ่นหอมมาก มีทั้งกลิ่นเบียร์ กลิ่นไวน์ ที่ต้องบอกว่าเป็น signature ของร้านเพราะประเทศนี้กินเบียร์กันต่างน้ำเลยทีเดียว ส่วนกลิ่นอื่น ๆ ก็มี Apricot, เกลือ Dead sea, ดอก Daisy, ลาเวนเดอร์ เข้าไปแล้วต้องได้ของติดไม้ติดมือออกมาแน่ ๆ รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ –> https://manufaktura.cz/?lang=enออกจากร้าน Manufaktura เดินไปทางซ้ายมือก็จะทะลุมาถึง Old town square ที่เป็นที่ตั้งหอนาฬิกาดาราศาสตร์ ตรงข้ามหอนาฬิกามีร้าน Starbucks ตึกสีฟ้า ๆ ที่คนเยอะมาก
นาฬิกาดาราศาสตร์ถือว่าเป็นนาฬิกาที่เก่าแก่และสร้างได้ปราณีตที่สุดที่เคยมีการสร้างมา ถูกติดตั้งตั้งแต่ปี คศ 1410 หรือ 600 กว่าปีมาแล้ว มีส่วนประกอบหลักอยู่ 3 ส่วนคือหน้าปัดที่บอกเกี่ยวกับดาราศาสตร์ การอธิบายตำแหน่งการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้า และการแสดงรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับดาราศาสตร์
ตัวเลขวงนอก เป็นเลขอาราบิคของชาวโบฮีเมียนโบราณตัวเลขวงกลาง เป็นเลขโรมัน
ส่วนวงใน เป็นรูปแบบการบอกเวลาแบบบาบิโลนส่วนนาฬิกาเรือนล่างเป็นนาฬิกาจักรราศี หน้าปัด 12 ราศี
ตุ๊กตาที่ขนาบข้างนาฬิกาเรือนบนหมายถึงกิเลสต่าง ๆ ของมนุษย์
ด้านซ้ายมือสุด เป็นตุ๊กตาที่ถือกระจกส่องหน้า แทนความลุ่มหลง
ด้านซ้ายถัดมา เป็นตุ๊กตานายทุนเงินกู้ชาวยิว แทนความละโมบ
ด้านขวามือสุด เป็นตุ๊กตาที่เชิดหน้าขึ้นลงได้ ดูคล้ายคนบ้ามุทะลุ แทนตัณหา ราคะ
ตัวถัดมา เป็นตุ๊กตาโครงกระดูก แทนความตาย ความมืดบอดทางปัญญานาฬิกาจะบอกเวลาทุก ๆ ชั่วโมงจะมีรูปปั้นสาวกพระคริสต์ออกมาเดินผ่านหน้าต่างเล็ก ๆ ด้านบนหอคอยจนครบ 12 องค์ ผู้คนจะรวมตัวกันเพื่อชมการแสดงการบอกเวลาทุกชั่วโมงตั้งแต่ 09.00-23.00 น. ตามตำนานกล่าวว่าหลังจากนาฬิกานี้สร้างเสร็จ คนประดิษฐ์กลไกนาฬิกาชิ้นนี้ถูกควักลูกตาให้ตาบอดเพื่อที่จะไม่สามารถมองเห็นแล้วสามารถสร้างนาฬิกาแบบเดียวกันนี้ได้อีก เศร้าจัง..แต่ถ้าเค้ามองลงมาเห็นก็คงจะดีใจไม่น้อยเพราะทุก ๆ ชั่วโมงคนมายืนรอดูกันแน่นมว๊ากกกกก ป.ล.ระวังทรัพย์สินมีค่าขณะที่ยืนดูอยู่ด้วยนะค่ามุมด้านข้างของ Old Town Hall สร้างมาตั้งแต่ คศ. 1338 ตรงนี้เป็นปีกทางด้านใต้เรียกว่า Orloj ส่วนปีกทางทิศตะวันออกถูกทำลายลงในช่วงปฎิวัติปรากเมื่อ 08 พฤษภาคม 1945 และไม่ได้ทำการซ่อมแซมอีกเลย มองเห็นช่อง ๆ ด้านบนมั้ยคะ สามารถซื้อตั๋วขึ้นไปชมวิวมุมสูงได้ รวมถึงโบสถ์สไตล์โกธิคด้านในและใต้ดินของหอคอยนี้ รายละเอียดเพิ่มเติมตามนี้ –> https://www.prague.eu/en/object/places/188/old-town-hall-with-astronomical-clock-staromestska-radnice-s-orlojem เดินถัดมานิดเดียวก็เป็นจัตุรัสเมืองเก่าสตาเรเมสโต (Old Town Square) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่า บริเวณโดยรอบล้วนเป็นอาคารและวิหารเก่าแก่อายุกว่า 700 ปี ได้รับการยกย่องจากยูเนสโก้ให้เป็นเมืองมรดกโลก มีแกลลอรี่ ร้านขายของ ร้านอาหารและร้านคาเฟ่มากมาย ในอดีตเป็นศูนย์กลางธุรกิจของเมือง ปัจจุบันก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายค่ะอนุสาวรีย์ของนักปฎิรูปศาสนาชื่อยาน ฮุส ท่านผู้นี้ต่อต้านความเหลวแหลกฟุ้งเฟ้อของศาสนาคริสต์นิกายแคธอลิคในยุคนั้นกว่า 500 ปีก่อน เช่นการที่บาทหลวงชั้นผู้ใหญ่แอบมีภรรยาลับ มีการขายบัตรไถ่บาปสร้างความร่ำรวยให้กับสำนักวาติกัน จนเขาถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการเผาทั้งเป็น เหตุการณ์นี้ทำให้มีการลุกฮือเพื่อต่อต้านอำนาจของพวกแคธอลิค มีการจับบาทหลวงโยนลงมาจากหอคอย จนเกิดเป็นสงครามฮุสไซต์ ระหว่างฝ่ายที่ยึดมั่นต่อคริสตจักรกับฝ่ายที่ต่อต้าน ยาน ฮุส จึงเป็นวีรบุรุษที่สำคัญคนหนึ่งของเชคด้านซ้ายของอนุสาวรีย์ยาน ฮุส จะมีโบสถ์ St.Nicolas ตั้งอยู่ ถ้าไปตามถนนเส้นนี้จะมีร้าน Cartier คือถนน Pariska จำง่าย ๆ ว่าปารีสค่ะ ^^ ได้อารมณ์เหมือนเดินช้อปปิ้งอยู่ปารีส เพราะเป็นถนนช้อปปิ้งของแบรนด์เนมหรูหรา Gucci, Dior, Prada, Rolex, Hermes, Ferrari, Nespressoด้านขวามือของอนุสาวรีย์ ยาน ฮุส คือวังคินสกี้ (Kinsky Palace) ตึกสีชมพูหวาน ปัจจุบันเป็นหอศิลป์แห่งชาติจัดแสดงภาพวาดและของสะสมเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณจากทั่วโลก เสียค่าเข้าชมนะคะ ส่วนตึกข้าง ๆ สไตล์โกธิค เหลื่อมล้ำกันมาตั้งแต่ยุคที่สร้างแล้ว มีการจ่ายเงินใต้โต๊ะทำให้ตึกสีชมพูยื่นออกมามากกว่าถัดมาคือ Church of our Lady before Tyn หรือ Tyn Church โบสถ์แม่พระ มีเรื่องราวบันทึกมาตั้งแต่ต้นคริสตศตวรรษที่ 12 (1100-1107) เรียกว่า Týnský dvůr ต่อมาได้มีการสร้างโรงพยาบาลแม่พระ (The Hospital of the Virgin Mary) ตรงบริเวณนี้ รวมถึงได้มีการสร้างโบสถ์ขึ้นใน คศ 1135 โบสถ์ที่เห็นในปัจจุบันเป็นสไตล์โกธิคสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 มียอดแหลมราวกับเปลวเพลิงเฉียดฟ้าดูขลังและเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ มีความสำคัญอันดับสองรองจาก St.Vitus Cathedral ในปราสาทปราก หอคอยสูง 80 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของศาลาว่าการเดิม
อาคาร Storch House ที่มีหน้าต่างยื่นออกมา จุดเด่นคือภาพวาด St.Wenceslas ขี่ม้า เป็นแนวศิลปะยุคใหม่
ตึกรอบ ๆ นี้ มองไปทางไหนก็สวยไปหมด ถ้าเปรียบตึกเป็นผู้หญิง โซนนี้ต้องเป็นตึกระดับนางงามเลยค่ะ
ถนน Celetna ถนนเส้นนี้มีร้านค้าเยอะแยะมากมาย เปิดให้บริการจนมืดรวมถึงวันอาทิตย์ด้วย ไม่เหมือนที่ออสเตรีย ถ้าเดินไปจนสุดก็จะเจอกับ Powder gatePilsner Urquel 1 ในยี่ห้อเบียร์ชื่อดังของเชค เช้าวันเดินทางที่สิบสาม: โปรแกรมเราวันนี้จะไปเยี่ยมชมปราสาทปรากกันค่ะ ที่ปรากนี่ตึกสวย ๆ เต็มไปหมด
ปราสาทปรากอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำวัลตาวา วิธีที่สะดวกที่สุดสำหรับคนไม่มีรถก็คือนั่งรถไฟใต้ดินไปโผล่ฝั่งโน้นเลย รถไฟใต้ดินมีแค่ 3 สาย : Line A สีเขียว, Line B สีเหลือง และ Line C สีแดง เปิดให้บริการตั้งแต่ 05.00 จนถึงเที่ยงคืน มีแบบตั๋วเที่ยวเดียว ตั๋ว 1 วัน ตั๋ว 3 วัน โดยสามารถกดซื้อที่ตู้ในสถานีได้เลย ที่สำคัญอย่าลืม Validate ตั๋วก่อนใช้ด้วยนะคะ รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ –> https://czech-transport.com/ นอกเหนือจากรถไฟใต้ดินแล้ว ที่ปรากยังมีรถเมล์ รถ Tram ให้บริการด้วยค่ะ บรรยากาศรถไฟใต้ดินยามเช้า ส่วนมากก็เป็นผู้คนเร่งรีบไปทำงาน เราก็เร่งรีบเหมือนกันค่ะ รีบไปเที่ยว…
เดินมาไม่ไกลก็มาถึงปราสาทปราก ขอแปะแผนที่ปราสาทปรากไว้เผื่อคนเที่ยวเองนะคะ ปราสาทจะแบ่งเป็น 4 ส่วน ของเราโผล่มาจากด้านหลัง ตรงหมายเลข 16 ทางด้านขวาของแผนที่ ส่วนด้านหน้าของปราสาทปรากคือหมายเลข 1 ทางด้านซ้ายค่ะ
หลังคาสีส้มๆๆๆ เดินตรงไปจะเห็นพี่ยามยืนหน้าเข้มอยู่ ด้านซ้ายมือสุด ๆ ของพี่ยามจะเป็นทางไปชมวิวและสวนได้ แต่ถ้าเดินผ่านพี่ยามเข้าไปด้านซ้ายจะเป็น Lobkovic Palace ส่วนด้านขวาจะเป็นพิพิธภัณฑ์ของเล่น (Toy museum) มีพี่แท่งยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ บริเวณนี้มีห้องน้ำให้เข้า เสียเงินเหมือนเดิมนะคะบริเวณ Toy Museum เค้าเป็นแค่เด็กหนุ่มน้อยนะครับ
ปราสาทปราก เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ทศวรรษที่ 870 จากนั้นกษัตริย์แต่ละองค์ก็ได้ให้ช่างต่อเติมส่วนต่าง ๆ เสริมเข้าไป จนวันนี้ปราสาทปรากถือเป็นปราสาทโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันเป็นที่ทำงานของประธานาธิบดี เวลาเที่ยงตรงจะมีพิธีเปลี่ยนเวรยามของทหาร เดินต่อ ๆ ไปก่อนค่ะ จะเจอกับมหาวิหารเซนต์วิตุส (St.Vitus Cathedral) ตรงนี้คือบริเวณด้านหลัง ยังไม่แวะที่ไหนนะคะต้องไปซื้อตั๋วกันก่อนตรงหน้ามหาวิหารเซนต์วิตุส
ค่าตั๋วมีให้เลือกตามความชอบ ของเราซื้อแบบ Circuit B ราคา 250 CZK รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ –> https://www.hrad.cz/en/prague-castle-for-visitorsซื้อตั๋วเรียบร้อย ไปเข้าชมมหาวิหารเซนต์วิตุส (St.Vitus’s Cathedral) กันค่ะ มหาวิหารใหญ่ขนาดนี้ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานกว่า 600 ปี เริ่มแรกเดิมที่เป็นโบสถ์กลมเล็ก ๆ สร้างใน คศ 930 โดย Wencelas ที่ 1 ดยุคแห่งโบฮีเมีย ต่อมาในยุคของกษัตริย์ชาร์ลสที่ 4 ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดิ์โรมันอันศักดิ์สิทธิ์และถือเป็นยุคเฟื่องฟูของเชค พระองค์อยากให้มีมหาวิหารที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักร เป็นที่เก็บสมบัติและเป็นสุสานของราชวงศ์ ในช่วงปี คศ 1344 จึงได้เริ่มก่อสร้างโดยสถาปนิคชาวฝรั่งเศสชื่อ Matthias of Arras ซึ่งเป็นนักคณิตศาสตร์ การก่อสร้างเป็นศิลปะสไตล์โกธิคแบบฝรั่งเศส แต่สถาปนิคก็ไม่มีโอกาสได้เห็นผลงานของตัวเอง และคนที่มารับหน้าที่ต่อคือ Peter Parler ในวัย 23 ปี เป็นสถาปนิค เป็นนักปั้นและช่างไม้ แน่นอนว่าก็ไม่ได้เห็นผลงานที่เสร็จสมบูรณ์ มีการเปลี่ยนสถาปิกไปหลายคนทำให้มหาวิหารแห่งนี้เป็นศิลปะแบบผสมผสานทั้งโกธิค เรเนซองค์และบารอค จนสำเร็จสมบูรณ์ในปี คศ 1929 ด้านในมีหลุมฝังศพที่อยู่ใต้ดินเป็นที่เก็บพระศพของกษัตริย์เชคบางองค์ เป็นที่เก็บสมบัติของราชวงศ์เชค ทางด้านบนหอคอยสามารถปีนขึ้นบันได 297 ขั้น เพื่อชมระฆัง Sigismund ที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นโบฮีเมีย ที่สร้างในปี คศ 1549 หนักถึง 15,120 กิโลกรัมประตูทางด้านหน้าคือใหญ่มาก แทบจะต้องลงไปนอนถ่ายกันเลยทีเดียว อยากให้สังเกตที่ใต้วงกลมด้านขวาล่างของกระจกกุหลาบ จะเห็นรูปสถาปนิก 2 คน ในช่วงก่อสร้างในปี คศ 20 คือ Hilburt และ Mocker โดยคนซ้ายถือวงเวียนและคนขวาถือปราสาทจำลอง อย่างที่บอกว่ามหาวิาหารนี้ใช้เวลาสร้างยาวนานมาก สถาปนิกหลายคนก็จากลาไปก่อนที่จะเห็นวิหารที่เสร็จสมบูรณ์การเข้าชมมหาวิหาร ถึงไม่ได้ซื้อตั๋วก็สามารถเข้าได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ด้านในจะมีที่กั้นไม่สามารถเดินชมได้ทั่ว แต่ถ้ามีตั๋วก็ไปทางด้านซ้ายมือจะมีเครื่องสแกนตั๋วแล้วก็เดินชมด้านในได้เลยค่ะ แผนที่ภายในโบสถ์ โดยจะแบ่งเป็นทั้งหมด 31 ห้อง ทางเข้าหลักจะอยู่ทางทิศตะวันตกหรือทางซ้ายมือของรูป
ภายในมหาวิหารที่มีเสาสูงขนาดอยู่ทั้ง 2 ข้าง และรอบ ๆ เต็มไปด้วยการตกแต่งด้วยกระจกสี ๆ หรือที่เรียกว่ากระจกกุหลาบ (Rose window)กระจกกุหลาบถือเป็นจุดเด่นของมหาวิหารนี้ ด้วยลวดลายที่สวยงาม เรื่องราวส่วนมากก็จะเกี่ยวกับศาสนาคริสต์และพระเยซู และที่เด่น ๆ เลยคือกระจกบานที่ 2 จากซ้ายมือเพราะเป็นผลงานของ Alphon Mucha ศิลปินชื่อดังของชาวเชค สังเกตด้านล่างจะมีชื่อ Bank of Slovakia เป็นสปอนเซอร์ในช่วงที่มีการบูรณะโบสถ์นี้ค่ะ
ถ้ายืนตรงกลางโบสถ์ไปทางด้านในคือส่วนเก่าที่เริ่มสร้างมาก่อน แล้วค่อยมาขยายเพิ่มเติมอีกครึ่งจนถึงประตูทางออก
ด้านซ้ายมือข้างบนเป็นที่ตั้งของออร์แกน
มุมแต่ละห้องหีบศพของนักบุญเนโปมุก อยู่ในหีบสีเงินที่ ทำมาจากแร่หินในเมือง Kutna Hora เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องแร่เงิน เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านนักบุญที่ถูกกษัตริย์สั่งประหารชีวิตด้วยการโยนลงสู่แม่น้ำวัลตาวา เมื่อท่านนักบุญปฎิเสธที่จะบอกว่าราชินีของพระองค์มาสารภาพบาปเรื่องอะไร หลังจากนั้นอีก 300 ปี ทางวาติกันจึงได้ประกาศให้ท่านเป็นนักบุญ
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่โบสถ์นี้ เหมือนโบสถ์ซ้อนโบสถ์คือ St.Wencelas Chapes เบอร์ 25 ค่ะ จะมีโบสถ์สีแดงเล็ก ๆ ด้านใน ด้านข้างจะมีห้องที่ถูกล็อคด้วยกุญแจถึง 7 ดอก โดยผู้ที่เก็บกุญแจไล่ตั้งเรียงมาตั้งแต่ประธานาธิบดีจนถึงนายกเทศมนตรีกรุงปราก เพราะทางนี้คือทางขึ้นไปยัง Coronation on Chamber ที่เก็บมงกุฎกษัตริย์ ประดับด้วยมุก 20 เม็ดและหินสีกว่า 96 เม็ด ซึ่งจะนำออกมาให้ชมเป็นขวัญตาทุก ๆ 8 ปี ส่วนรูปนี้คือกระจกกุหลาบบานสุดท้าย ที่แอบมีซ่อนสัญลักษณ์ของสปอนเซอร์ Antie Anne ไว้ที่มุมขวาล่าง นั่นคือคนถือ Pretzel ค่ะ อย่าลืมไปดูกันนะคะถ้าอยากได้รูปสวย ๆ แบบเต็ม ๆ ของมหาวิหารต้องมาถ่ายทางด้านข้างค่ะนอกจากเสาโอบิลิกส์ รูปปั้น St.George ขี่ม้าฆ่ามังกรแล้ว ตรงเหนือประตูจะมีโมเสกสีทองด้านบนโค้งซุ้มประตู 3 ช่อง เป็นรูปคำพิพากษาวันสุดท้าย (The Mosaic of the Last Judgement) ทำจากโมเสก 1 ล้านชิ้นโดยช่างชาวเวนิสด้านล่างเป็นชิ้นงานเหล็กที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนเชคถ้าใครมีเวลามากหน่อยก็สามารถเข้าชม Old Royal Palace ที่อยู่ทางด้านขวาของโบสถ์ได้ค่ะ ไฮไลท์ในนั้นคือห้องโถง Vladislav เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่ไม่มีเสา ปัจจุบันใช้เป็นที่สาบานตนในการรับตำแหน่งของประธานาธิบดีเชคเดินย้อนกลับไปทางด้านหลังของมหาวิหาร จะเห็น Basilica of St.George ส่วนด้านข้างคือ Convent of St.George ที่เห็นสีสวยสดใสขนาดนี้เพราะบูรณะใหม่หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ไปค่ะ ซื้อตั๋วเซตเล็ก เซตใหญ่ก็เข้าชมได้เหมือนกัน หลังจากนั้นก็เดินไปยังตรอก Golden Lane
Golden Lane บ้านหลังเล็ก ๆ ที่สร้างไปตามแนวกำแพงปราสาท สีสันสวยงาม เริ่มแรกเป็นที่พักของทหารรักษาพระราชวัง จนกระทั่ง 100 ปีถัดมา พวกช่างทองได้ย้ายเข้ามาอยู่บริเวณนี้และเริ่มดัดแปลงเป็นที่พักและร้านค้าแต่ในช่วงศตวรรษที่ 19 บริเวณนี้กลายเป็นชุมชนแออัดเป็นที่อยู่อาศัยของพวกคนยากจนและเต็มไปด้วยอาชญากรรม จนมาถึง คศ 1950 ได้มีการบูรณะซ่อมแซมจนกลายเป็นร้านหนังสือ ร้านขายเครื่องแก้วโบฮีเมีย ปัจจุบันถนนเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นร้านค้าสีสันสดใส ร้านขายของที่ระลึก งานแฮนด์เมดต่าง ๆ บ้านหลังที่ 22 เคยเป็นที่พักของ Franz Kafka นักเขียนที่มีชื่อของเชค
ร้าน Manufaktura ก็มีนะคะ
เดินไปตามทางเรื่อย ๆ จะออกไปทางด้านหลัง เดี๋ยวเราจะไปเดินเล่นชมสวนกันค่ะ นอกจากสวนสวย ๆ แล้วก็มีวิวเมืองสวย ๆ หลังคาส้ม ๆ ให้ถ่ายกันไปได้ตลอดทาง
มาถึงบริเวณนี้จะมีบันไดเดินขึ้นไป แล้วก็จะไปโผล่ตรงข้างมหาวิหาร ไม่ต้องเดินย้อนกลับทางเดิมค่ะ
บริเวณ Courtyard ที่ 2 ถ้าใครเข้ามาจากประตูหลักด้านหน้า ก็มาซื้อตั๋วได้ที่นี่ หรือถ้าใครนั่งรถรางมาก็จะมาเข้าทางประตูนี้ถ้ามาหน้าฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ก็จะงาม ๆ แบบนี้ประตูทางเข้าหลัก มีรูปปั้น ฺBattle of Titan สร้างขึ้นในสมัยพระนางมาเรียเทเรซ่าแห่งออสเตรียในช่วงศตวรรษที่ 18 ทุกชั่วโมงจะมีการเปลี่ยนเวรยามทหารและทุกเที่ยงจะมีการแลกเปลี่ยนธงเพิ่มด้วยออกจากหน้าประตูหลัก เดินเล่นไปเรื่อย ๆ จุดหมายปลายทางอยู่ที่สะพานชาร์ลส โบสถ์ St.Nicolasอาหารกลางวัน เราเลือกร้านแถว ๆ สะพาน มีให้เลือกมากมายทั้งเมนูเนื้อ เนื้อหมู เนื้อแกะ เนื้อเป็ด และเนื้อกระต่ายยยย ประเทศเชคเป็นประเทศไม่ติดทะเล อาหารทะเลจึงหาได้ไม่ง่าย ผู้คนที่โน่นก็เลยบริโภคเนื้อกันเป็นหลักค่ะ เข้ากับการแกล้มด้วยเบียร์…จานนี้เนื้อกระต่ายของจริง ไม่อิงนิยาย
สะพานชาร์ลส์ (Charles Bridge) ในภาษาเชคเรียกว่า Karluv most แปลว่าสะพานหิน ถือว่าเป็นหนึ่งในสะพานโรแมนติคแห่งหนึ่งในยุโรป สร้างมาแล้วกว่า 600 ปี ตามโหรทำนายให้พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 สร้างโดยให้ลำดับตามเลขคี่ 1 3 5 7 9 เริ่มสร้างเวลา 05.31 น. วันที่ 9 เดือน 7 คศ 1357 เป็นสถานที่ยอดฮิตของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก สะพานนี้ได้สร้างแทนที่สะพานจูดิดที่เสียหายจากน้ำท่วม ตัวสะพานยาว 516 เมตรศิลปินบนสะพานนี้มากมายบนสะพานมีรูปปั้นต่าง ๆ กันทั้งรูปปั้นพระเยซู พระแม่มารี นักบุญจำนวนทั้งหมด 30 รูปปั้นนำมาตั้งไว้ตั้งแต่ปี 1683-1928 เริ่มจากที่สะพานสร้างเสร็จก็มีความคิดอยากให้สะพานสวยงามมากขึ้น จึงได้เริ่มตกแต่งสะพานด้วยรูปปั้นนักบุญต่าง ๆ โดยรูปปั้นแรกคือพระเยซู
รูปปั้นที่โดดเด่นคือรูปปั้นของ St.John of Nepomuk นักบุญจอห์นออฟนีโปมุก เป็นรูปปั้นนักบุญอันดับแรกที่ประดับบนสะพานแห่งนี้ ตามตำนานบอกว่าราชินีของกษัตริย์เซนต์แวนเซลลาสที่ 4 พบท่านเพื่อสารภาพบาปบางประการ ต่อมากษัตริย์ทราบเรื่องจึงถามนักบุญว่าราชินีมาสารภาพเรื่องอะไร ท่านไม่ยอมปริปากพูดเพราะถือว่าการสารภาพบาปเป็นเรื่องส่วนบุคคล กษัตริย์กริ้วมากเลยสั่งให้จับท่านโยนลงจากสะพานตรงจุดนี้ หลังจากนั้นได้ปรากฎดาวทองห้าดวงขึ้น ทำให้ท่านได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญเนโปมุก ด้านขวาของรูปที่เป็นสีทอง ๆ จะเป็นรูปของท่านนักบุญที่กำลังถูกโยนลงน้ำ ให้เอามือขวาแตะที่ท่านแล้วก็อธิษฐาน เชื่อว่าใครได้ลูบจะได้กลับมาที่ปรากอีก
เลยไปอีกนิดจะเป็นจุดที่ท่านถูกโยนลงน้ำที่เป็นตะแกรง จุดนี้ดูตรงพื้นจะมีหมุดสีทองให้เหยียบตรงหมุด พร้อมเอานิ้วมือซ้ายทั้ง 5 ของเราวางไว้บนดาวทั้ง 5 และมือขวาจับที่ท่านนักบุญ ตามองลงไปที่แม่น้ำด้านล่าง พร้อมอธิษฐานขอพร รูปนี้ถ่ายตอนช่วงซัมเมอร์ก็จะร้อน ๆ หน่อย
รูปปั้นทั้งหมดบนสะพาน 30 รูปปั้น มีของจริงดั้งเดิมเพียงแค่ 2 รูปปั้นคือรูปปั้นท่านเนโปมุกและรูปปั้นพระเยซู ส่วนที่เหลือถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์หมดแล้วค่ะเพื่อป้องกันความเสียหาย วันนี้อากาศดี แดดก็ดี เลยใช้เวลาบนสะพานนานเลย
วิวปราสาทปรากแสนสวย
ใครมีเวลาอยากนั่งเรือชมวิวก็ได้นะคะ
หอสะพานฝั่ง Old town (Old Town Bridge Tower) จัดว่าเป็นหนึ่งในหอคอยที่สวยที่สุดในยุโรปกลาง
รูปปั้นพระเจ้าชาร์ลสที่ 4 กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของชาวเชค สร้างความเจริญในกับประเทศเป็นอย่างมากและ St.Francis of Assisi Church และที่ไหนมีรั้ว ที่นั่นก็มีกุญแจค่ะ
เดินย้อนกลับไปแถว Old town square แล้วค่อยกลับโรงแรม วันนี้เดินจนขาอยากจะประท้วง พักผ่อนกันก่อน พรุ่งนี้ไปเมืองน้ำแร่คาร์โรวี วารีกันค่ะ จบทริปวันนี้กับนางแบบสวย ๆ
รีวิวตอนต่อไป –> เมืองน้ำแร่คาร์โรวี วารีและเมืองเชสกี้ คลุมลอฟค่ะ :
รีวิวเที่ยวยุโรปตะวันออก ตอนที่ 7 : เมืองคาร์โรวี วารี (Karlovy Vary) และเมืองเชสกี้ คลุมลอฟ (Český Krumlov)
รีวิวตอนที่แล้ว –> กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
รีวิวเที่ยวยุโรปตะวันออก ตอนที่ 5 : กรุงเวียนนา (Vienna) ออสเตรีย