รีวิวเที่ยวสก็อตแลนด์ กลาสโกว์ เอดินเบอระ วินเดอร์เมียร์และหมู่บ้าน Cotswolds ตอนที่ 3 ทริปอังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ ไอร์แลนด์และไอร์แลนด์เหนือ 16 วัน 15 คืน

วันเดินทางที่ 10 : วันนี้เราจะข้ามฝั่งจากไอร์แลนด์เหนือไปยังสก็อตแลนด์ โดยเรือ Stenaline ช่วงเช้าเรายังมีเวลากันนิดหน่อยก็เลยแวะตลาดเช้า St.George’s marketc4คนขายคงจะแอบงงว่าชาวเอเชียกลุ่มนี้หลงทางมาหรือไงเพราะทั้งตลาดไม่มีคนเอเชียเลยค่ะ มีแต่คนท้องถิ่นมาซื้ออาหารสด ผลไม้ ดอกไม้กันb99c1c2
บริเวณรอบ ๆ ตลาดc3c5c6ได้เวลาแล้วก็เดินทางไปยังท่าเรือเมืองเบลฟาสต์ (Belfast) รอบนี้เราจะขึ้นเรือของ Stenaline เป็นเรือเฟอร์รี่ข้ามระหว่างเกาะอังกฤษและไอร์แลนด์ อย่างตอนนี้เราอยู่ที่ไอร์แลนด์เหนือจะข้ามไปสก็อตแลนด์ ก็จะเป็นเรือเฟอร์รี่ที่วิ่งระหว่างเมืองเบลฟาสต์ (Belfast) ของไอร์แลนด์เหนือและเมืองแคร์ไรอัน (Cairnryan) ของประเทศสก็อตแลนด์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 02.15 ชั่วโมง  รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมืองท่าที่เราจะข้าม รอบเวลาต่าง ๆ สามารถดูได้ที่ –>  http://www.stenaline.co.uk/ferries-to-ireland (credit: stenaline.co.uk)b97ก่อนขึ้นเรือมีทั้งรถใหญ่ รถเล็ก มอเตอร์ไซค์ มารอเข้าคิวเพื่อขึ้นเรือกัน อย่างของเราใช้รถโค้ชก็เอารถข้ามกลับไปด้วยกันได้เลย…ดี๊ดี…c8c7c9มอเตอร์ไซค์คันบิ๊กมารอต่อคิวขึ้นเรือเหมือนกันc21พอรถโค้ชเข้าที่จอดบนเรือแล้ว เราก็ขึ้นมาบริเวณด้านบน ภายในเรือกว้างขวางพอดู มีทั้งโซนขายอาหาร ร้านเกมส์ ร้านดิวตี้ฟรี ซึ่งพอกลับมาแล้วเพิ่งจะตระหนักได้ว่าของบนเรือนี้ถูกมากกก เราเลือกทานมื้อเที่ยงกันบนเรือ พอไปถึงสก็อตแลนด์จะได้เที่ยวกันเลยค่ะ อาหารบนเรืออร่อยใช้ได้ มีหลายเมนูให้เลือกโดยเฉพาะซี่โครงหมูอร่อยมว๊ากกกกc10อิ่มแล้วก็เดินเล่น ชมวิวฟ้ากับทะเลกันไป เมื่อใกล้ถึงเวลาเทียบท่าจะมีประกาศแจ้งค่ะว่าให้ทุกคนกลับไปที่รถตัวเองได้ c112 ชั่วโมงกว่า ๆ แต่รู้สึกเหมือนแป๊ปเดียวก็มาถึงเมืองแคร์ไรอัน ประเทศสก็อตแลนด์ (Cairnryan) ประเทศที่ 5 ของทริปนี้แล้วค่ะ >< เยอะจริงๆ จากเมืองแคร์ไรอัน (Cairnryan) เราก็มุ่งหน้าสู่เมืองกลาสโกว์ (Glasgow) เมืองท่าใหญ่ของมหาสมุทรแอตแลนติคและเป็นศูนย์กลางการค้า วิศวกรรมและอุตสาหกรรมต่อเรือของสก็อตแลนด์b98มาถึงกลาสโกว์กันแล้วไปชมมหาวิหารแห่งเมืองกลาสโกว์กันค่ะ (Glasgow Cathedral) เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิคแบบที่เรียกได้ว่าเก่าแก่ คลาสสิค ดูมีมนต์ขลังมาก ๆ เสียดายแสงน้อย ภาพก็เลยชัดน้อยตามไปด้วย..ซอรี่ c12c15c14c13หลังจากนั้นก็ไปเดินเล่น ช้อปปิ้งกันบริเวณ Buchanan street ถนนช้อปปิ้งชื่อดัง สำหรับมื้อเย็นจะทานอาหารขึ้นชื่อของเมืองนี้นั่นก็คือ Fish&Chips ที่ร้านอาหาร The Chippy  ร้านกิ๊บเก๋มากๆ แล้วก็เดินไปที่พักกันคืนนี้ที่ Radisson Blu Glasgow ห่างจาก Buchanan street ประมาณ 10 นาทีเองค่ะ c16
บ้านเมืองเก่าแก่ได้ใจจริงๆ ผู้คนก็แต่งตัวสวยงามดูมีสไตล์มาก c17c18c19c20วันเดินทางที่ 11  : วันนี้จะไปเที่ยวเมืองหลวงของสก็อตแลนด์กันค่ะ นั่นคือเมืองเอดินเบอระ (Edinburgh) ตรงเบอระไม่ต้องอ่านชัดนะคะ เอาแบบเป็นเสียงหายเข้าไปในคอ เพราะเวลาพูดถึงเมืองนี้ทีไร คนขับรถซึ่งเป็นชาวสก็อตแต้ๆ หัวเราะทู้กที ก่อนจะไปเยี่ยมชมปราสาทเอดินเบอระ (Edinburgh Castle เราแวะเยี่ยมวังโฮรี่รู้ด (Holylood palace) ของราชินีอังกฤษกันก่อนค่ะ ถ่ายรูปกันได้แค่นอกริมรั้วc22c24c23ระหว่างทางจะไปปราสาท เมืองอะไรจะเก่าและสวยได้ขนาดนี้c25c26c27ไฮไลท์ของการมาสก็อตแลนด์คือเข้าชมปราสาทเอดินเบอระ (Edinburgh Castle) นึกถึงหนังเรื่อง The Brave Heart เลยค่ะ อารมณ์ประมาณนั้นc28
รูปปั้นด้านขวาคือเซอร์วิลเลี่ยม วอลเลซ อัศวินผู้รักชาติชาวสก็อต ผู้นำการต่อต้านการครอบครองสกอตแลนด์โดยอังกฤษระหว่างสงครามอิสรภาพของสกอตแลนด์ เซอร์ วิลเลียม วอลเลซได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษในประวัติศาสตร์ของสก็อตแลนด์……freedommmmm….ส่วนด้านซ้ายคือกษัตริย์ โรเบิร์ต เดอะ บรูซ ผู้ที่ช่วยกอบกู้อิสรภาพให้กับชาวสก็อตจากอังกฤษ  ส่วนป้ายสีฟ้า Nemo Me Impune Lacessit เป็นข้อความไว้ข่มขวัญศัตรูที่แปลว่า ไม่มีผู้ใดที่ทำให้ข้าขุ่นข้องหมองใจแล้วจะสามารถหนีรอดไปได้ และเหนือประตูทางเข้าเป็นสัญลักษณ์รูปสิงโตคำรามสีแดงc31
สุดท้ายเซอร์วิลเลียม วอลเลซ ถูกทรยศโดยขุนนางร่วมชาติ จอห์น เดอ เมน ทีน อัศวินผู้จงรักภักดีต่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด จับส่งไปให้ทางการอังกฤษและถูกตั้งข้อหากบฎต่อแผ่นดินอังกฤษ และได้รับโทษโดยการ Hanged Drawn and Quartered คือวิธีจัดการกับนักโทษกบฎ โดยเริ่มจากเปลื้องผ้าในศาล ถูกม้าลากออกไปตามถนนในเมือง และถูกแขวนคอที่ตลาดสมิธฟิลด์ ว่ากันว่ายังไม่ให้ถึงตายแล้วตัดอวัยวะออกทีละชิ้นแล้วเผาต่อหน้า เมื่อนักโทษตายก็จะตัดคอแล้วหั่นศพเป็น 4 ส่วน เอาส่วนศีรษะไปทำไม่ให้เน่าเปื่อยก่อนปักประจาน ซึ่งศีรษะของเซอร์วอลเลซถูกปักไว้ที่สะพานลอนดอน ร่วมกับศีรษะของน้องชายคือ จอห์นและไซมอน ฟราเซีย ส่วนแขนและขาถถูกแยกนำไปประจานที่ นิวคาสเซิล เบอร์วิก สเตอร์ลิงและแอเบอร์ดีน ….เศร้าจัง T-T c33
ปราสาทนี้ตั้งอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟที่สงบไปแล้วหลายล้านปี ทั้งด้านข้างและด้านหลังเป็นหน้าผาที่สูงชัน ส่วนด้านหน้าก็เป็นกำแพงหินขนาดยักษ์ ถือว่าเป็นทำเลที่ตั้งอันแข็งแกร่งเพื่อป้องกันศัตรูคู่แค้นอย่างอังกฤษใน อดีตเป็นที่ประทับของกษัตริย์สก็อต ที่ได้รับความเสียหายจากสงครามหลายครั้งแต่ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ มีความสวยงามจนองค์การยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ด้านในเป็นห้องแสดงอาวุธ ยุทโธปกรณ์ของทหาร ห้องเก็บคฑา มงกุฎต่าง ๆ เดินต่อเข้ามาด้านใน พื้นเป็นหินและลาดชัน ถ้าใครได้ขี่ม้า ฮี้ กับ..กับ ก็สบายไป แต่ถ้าใครต้องใช้สองเท้าก็ต้องอึดและแข็งแรงจริงๆ ค่ะc30c34c29แล้วเราก็เดินมาถึง Crown square ลานกว้างสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ล้อมไปด้วยอาคารสูงทั้ง 4 ทิศ ทั้งพระตำหนักอันเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์และเหล่าราชวงศ์ในสมัยก่อน ปัจจุบันเป็นที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ของกษัตริย์และราชวงศ์สก็อตแลนด์ รวมไปถึงมงกุฎ ดาบ และคฑา สามสัญลักษณ์แห่งกษัตริย์สก็อตแลนด์ ว่ากันว่าเคยหายไปช่วงที่ปราสาทถูกโจมตีโดยอังกฤษเพราะถูกคนนำไปฝังซ่อนไว้ที่กำแพงปราสาท  ส่วนด้านเหนือคือรูปด้านล่างนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ทางทหารของสก็อตแลนด์ เดิมคือโบสถ์เซนต์แมรี่ ไฮไลท์ที่แสดงในส่วนนี้คือดาบเคลย์มอร์ ดาบ 2 คมชนิดหนึ่ง มีความใหญ่และยาวกว่าดาบนักรบทั่วไปกว่า 2 เท่า เป็นที่นิยมใช้ของชาวสก็อตที่อาศัยบนที่ราบสูงc35
ด้านในไม่ให้ถ่ายรูปนะคะ ชมเรียบร้อยแล้วก็เดินไปชมวิวกว้าง ๆ กันต่อ เดี๋ยวเราจะลงไปเดินเล่นที่เมืองข้างล่างกันค่ะ ขอแวะโทรศัพท์แป๊ปc32
บริเวณลานหินกว้างริมหน้าผาทางทิศเหนือ มองไปไกล ๆ โน่นนนจะเห็นชายฝั่งทะเลเหนือ ซึ่งลานนี้เป็นที่ตั้งของ The One o’clock Gun ปืนใหญ่ที่ทำหน้าที่ในการยิง One o’clock Gun ทุกวันเวลาบ่ายโมงตรงเพื่อแจ้งเวลาให้กับชาวเมืองและเรือที่แล่นอยู่บริเวณปากแม่น้ำฟอร์ด รวมถึงท่าเรือริมทะเลเหนือซึ่งอยู่ห่างจากตัวปราสาทไปประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นธรรมเนียมที่ปฎิบัติกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1861c36c37
ธงชาติสก็อตแลนด์ พื้นฟ้า กากบาทขาว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธงสหราชอาณาจักรด้วยc39
เดินออกจากปราสาทมา ได้เวลาช้อปปิ้งกริ๊งงงงงงง มีร้านขายผ้าสก็อตที่เล็งกันไว้ตั้งแต่แรก ตั้งอยู่ทางด้านขวาก่อนเข้าปราสาทค่ะc38หน้าร้าน คนเยอะเชียวc40บริเวณภายในร้าน มีขายของมากมาย ถ้าผ้าแคชเมียร์ พวงกุญแจ Magnet สร้อย เสื้อคลุม กระเป๋าc43ที่ขาดไม่ได้เลยคือกระโปรงจีบสั้นแค่เข่าของผู้ชาย ที่เป็นสัญลักษณ์ของชาวสก็อต ผู้ชายจะใช้นุ่งตามวัฒนธรรมดั้งเดิมเรียกว่า คิลท์ (kilt) ทำด้วยผ้าตาหมากรุกที่เรียกว่า ทาร์ทัน (tartan) เริ่มสวมใส่กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ในแถบ Highland เริ่มแรกเป็นผ้าลายตารางผืนเดียวคลุมทับกับเสื้อตัวยาว สามารถใช้เป็นทั้งผ้าห่ม ผ้าคลุม โดยลวดลายของ คิลท์ ที่เราเรียกว่าลายสกอตนั้น แต่ละตระกูลของชาวสกอต จะมีลายเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่นกลุ่ม The Mackenzies, The Macdonalds สามารถใส่ชุดนี้ได้เมื่อมีพิธีการ หรืองานเลี้ยง ไม่จำเป็นต้องใส่ตอนเล่นปี่ ซึ่งเวลาใส่ คิลท์ ชายชาวสก็อตจะไม่นุ่งกางเกงใน อ่านอีกที อ่านไม่ผิดค่ะ แต่จะมีกระเป๋าหนัง (ข้างในมีแผ่นหิน) คล้องทับกระโปรงด้านหน้าอีกที ไม่รู้ว่าผ้าขาวม้ากับกระโปรงลายสก็อตใครเลียนแบบใครนะคะc42
c44
เพลิดเพลินใจกับการช้อปปิ้ง จัดไปคนละหลายผืนอยู่ สบายใจละค่ะ ไปกันต่อได้ ค่อย ๆ เดินลงเขาชมวิวเมืองสวย ๆ ไปยังโรงแรมสุดหรูในเอดินเบอระเพื่อทานอาฟเตอร์นูนที Afternoon tea ของโรงแรม Balmoral กันc41ระหว่างทางเดินไปค่ะ สวยไปหมดทุกมุมc45c47วิวมองย้อนขึ้นไปที่ปราสาท ตั้งอยู่สูงเหมือนกันนะเนี่ยc49รางรถไฟc48Scott Monument c46ปราสาทฝั่งโน้นc52โรงแรม Balmoral อยู่ด้านหน้าแล้วค่ะc50
กลับมาเพิ่งจะเห็นว่ากล้องตั้งหลายตัวแต่ไม่มีกล้องไหนถ่ายชาและขนมไว้เลย 555 สงสัยมัวแต่กินจนเพลิน ที่นี่จะมีชามาให้เราเลือกนะคะว่าจะรับชาแบบไหน หรือถ้าไม่ชอบชาก็มีกาแฟหรือช็อคโกแลตร้อนค่ะ รวมถึงขนมอย่าง Scone หรือขนมอื่น ๆ ส่วนเครื่องดื่มเสิร์ฟจนพอใจค่ะ ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ดี ๆ ได้มาจิบน้ำชาอังกฤษแบบผู้ดีถึงถิ่นสก็อต อ้าวว…ขอยืมรูปมาให้ดูละกันค่ะ (credit: afternoonteaonline.co.uk)c51ทานเสร็จแล้วมีเวลาว่าง เดินชมเมืองชิล ๆ ใครใคร่ช้อปก็ไปช้อปค่ะ ใครใคร่ถ่ายรูปก็ตามสบาย เราเดินข้ามสะพานย้อนกลับไปถนน Royal milesc57ใครเอารถป้ามาจอดไว้เนี่ยยยย….c55c53มาสก็อตแลนด์ไม่เห็นผู้ชายใส่กระโปรงสก็อต เป่าปี่สก็อต เหมือนจะมาไม่ถึง ปี่สก็อตมีชื่อว่า bagpipe เป็นเครื่องดนตรีแบบแรกที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น แต่ก็ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าได้กำเนิดขึ้นที่ไหน ในยุคที่สก็อตแลนด์ถูกรวมเข้ากับอังกฤษ ปี่สก็อตเคยถูกจัดว่าเป็นเครื่องดนตรีต้องห้ามเพราะรัฐบาลในขณะนั้นถือว่าปี่สก็อตเป็นอาวุธใช้บรรเพลงเพื่อสร้างความฮึกเหิมให้ทหาร กลัวว่าจะโดนลุกฮือหน่ะสิc54
ชอบไปหมดยันซอกตึกc58
c56
แล้วก็เดินขึ้นไปชมวิวที่ Calton Hillc60

c65c63c64บ้านเมืองคุมโทนสีดีมากc61c62ตอนเย็นเราไปทานข้าวกันที่ร้าน Phuket Pavillion เป็นร้านอาหารไทย รสชาติดีทีเดียวโดยเฉพาะเราไม่ได้ทานอาหารไทยมาหลายวัน คืนนี้เข้าพักกันที่ Apex European Hotel กันค่ะ (credit: phuketpavillion.co.uk)c67
วันเดินทางที่ 12 : ยังเหลือเที่ยวอีกหลายวัน หลังจากนี้จะเริ่มเที่ยวประเทศอังกฤษกันซะทีค่ะ จากเมืองเอดินเบอระมุ่งหน้าลงใต้ซึ่งก็คือตอนเหนือของประเทศอังกฤษนั่นเอง ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ เราก็แวะที่ Gretna Green เป็นหมู่บ้านทางตอนใต้ของสก็อตแลนด์ ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนอังกฤษและสก็อตแลนด์ มีชื่อเสียงในเรื่องของการหนีมาแต่งงานกันที่นี่ หรือเรียกว่าวิวาห์เหาะ (runaway marriages) และเดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันกันที่ร้าน Lamplighter Dining Rooms ที่วินเดอร์เมียร์ (Windermere) ก่อนจะล่องเรือชมทะเลสาบวินเดอร์เมียร์สู่แอมเบิลไซต์ (Ambleside) ที่พักของเราคืนนี้c68c69
มีให้เลือกแบบนั่งโต้ลมชมวิวด้านบนหรือด้านล่างที่มีหน้าต่างปิด แน่นอนค่ะแก๊งค์เราอยู่ด้านล่างกันเกินครึ่ง ^^ ขอแว๊บขึ้นมาด้านบนบ้างโชคดีวันนี้ฟ้าใส แต่นั่งไปนั่งมาก็หนาวเหมือนกันนะเนี่ย c71c70
สองฝั่งทะเลสาบ มีแต่โรงแรมหรู ๆ และบ้านคนมีสตางค์เพราะแถวนี้ได้ข่าวว่าบ้านแพงมากกกกกc73c72c74
เรือจะมีจอดรับ/ส่งคนเป็นจุด ๆ เราลงท่าเรือแอมเบิลไซต์ (Ambleside) แล้วก็เดินไปโรงแรมที่พักเราคืนนี้ The Waterhead Windermere ติดกับท่าเรือเลยค่ะ ก่อนอาหารเย็น มีเวลาเหลือนิดหน่อยก็ไปเดินเล่นในตัวเมืองแอมเบิลไซต์กัน เป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ก็มีครบทั้งร้านอาหาร ร้านค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ตc75
c76
เดินเล่นซักพัก ก็กลับมาทานอาหารเย็นกันที่โรงแรมและออกมาเดินย่อยริมทะเลสาบหน้าโรงแรมc77c78c79
โรงแรม The Waterhead Windermere วิวดีมากกกก

c80
วันเดินทางที่ 13 :  ช่วงเช้าจะไปช้อปกันที่ Bicester Outlet และบ่ายไปเที่ยวเมืองอ๊อกฟอร์ด เมืองแห่งการศึกษา จัดว่าเป็นอีกเมืองที่มีมหาวิยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกc82c83
ในเมืองไม่อนุญาตให้รถใหญ่เข้าได้ ดังนั้นเดินสิคะ รออะไรc84c85
เดินไปทางไหนก็มีแต่นักศึกษาหลากหลายชาติ ทั้งฝรั่ง เอเชีย แอฟฟริกัน เดินกันขวั่กไขว่ ไม่ก็ปั่นจักรยานกันสนุกสนานc86
เดินกันได้ไม่นานมาก สมาชิกก็เริ่มอ่อนแรง ทานอาหารเย็นแล้ว เข้าที่พักกันที่ The Oxford Belfry กันค่ะ

วันเดินทางที่ 14 : วันนี้จะไปชมหมู่บ้านแสนสวย Bibury และ Burton-on-water อยู่ห่างออกไปประมาณ 50 กิโลเมตร ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงค่ะc89c94
ตั้งอยู่ในแคว้น Gloucestershire เขต Cotswolds ซึ่งเป็นเขตที่มีหมู่บ้านที่จัดว่าสวยที่สุดในอังกฤษc87c88c90บ้านหินที่เรียงรายกันเป็นแถวนี่เรียกว่า Arlington Row ในอดีตเป็นที่พักของคนที่ทำอาชีพทอขนแกะในศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันหมู่บ้านนี้ยังมีคนอาศัยอยู่จริง ๆ และเป็นหมู่บ้านที่ถูกถ่ายเป็นแบบปฎิทินมากที่สุดอีกหมู่บ้านหนึ่ง รวมถึงมีนักท่องเที่ยวแวะมาเยี่ยมชมกันไม่ขาดสาย ไม่เหงาแน่ ๆ c91c95c93เดินเล่นกันพักนึงแล้วก็นั่งรถต่อไปอีกหมู่บ้านค่ะ ห่างกันไม่ไกลc92มาถึง Bourton-on-the-Water กันแล้ว หมู่บ้านนี้ชื่อว่าเป็นเวนิสแห่งอังกฤษ เพราะมีแม่น้ำ Windrush ไหลผ่านตลอดตัวเมือง มีสะพานหินให้เดินข้ามไปสองฝั่งของแม่น้ำเป็นระยะ ๆ ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ c98d1d2
เจ้าถิ่นเป็ดหัวเขียว The Mallard ซึ่งเป็นพันธุ์ที่พบมากในแถบยุโรปและอเมริกาเหนือc97
เดินเล่นสบาย ๆ ก่อนทานอาหารกลางวันและบ่ายนี้มุ่งหน้าสู่ลอนดอนแล้วค่ะc96c99d4d3

รีวิวตอนหน้า มหานครลอนดอน https://dreamfirsttrip.wordpress.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%99/

บันทึก

บันทึก

บันทึก

4 thoughts on “รีวิวเที่ยวสก็อตแลนด์ กลาสโกว์ เอดินเบอระ วินเดอร์เมียร์และหมู่บ้าน Cotswolds ตอนที่ 3 ทริปอังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ ไอร์แลนด์และไอร์แลนด์เหนือ 16 วัน 15 คืน

  1. ชอบมากเลยคะมีเฟสบุคให้ติดตามบ้างไหม

  2. ติดตามอ่านทางเวบได้เลยค่ะ เพราะ FB ลงได้น้อยค่ะ ตอนนี้ที่เขียนไปก็มี รีวิวเที่ยวฝรั่งเศสตอนใต้ : https://dreamfirstsky.wordpress.com/%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%a7%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a5%e0%b8%b5/

  3. เมืองสวยทุกเมืองเลยค่ะ อยากไปตามรอยบ้าง มีจัดอีกมั้ยคะ

Leave a comment