วันที่หกของการเดินทาง : โปรแกรมวันนี้จะวนรอบ ๆ Golden circle หรือวงแหวนทองคำ เส้นทางยอดนิยมสำหรับคนมาเที่ยวไอซ์แลนด์ ต้องบอกว่าเป็น a must ที่พลาดไม่ได้ค่ะเส้นทางวงแหวนทองคำคือเส้นทางบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของไอซ์แลนด์ ประกอบไปด้วย อุทยานแห่งชาติ Thingvellir (ซิงเควลลีร์), น้ำพุร้อน Geysir (กีเซอร์) และน้ำตก Gullfoss (กูลฟอส)ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง เราก็มาถึงอุทยานซิงเควลลีร์ (Thingvellir) Thing แปลว่าสภา Vellir แปลว่าทุ่งหญ้า รวมกันแปลว่าสภาทุ่งหญ้า มาเกี่ยวกันได้ยังไง เดี๋ยวเล่าให้ฟังค่ะ ก่อนจะเข้าไปเดินกันด้านใน ตรงที่จอดรถจะมีห้องน้ำ แต่ที่นี่เสียเงินนะคะ ใช้เหรียญหยอดก่อนถึงจะหมุนเข้าไปได้ ถ้าไม่มีเหรียญก็จ่ายด้วยบัตรเครดิตได้ค่ะ รับการจ่ายเงินทุกรูปแบบอุทยาน Thingvellir (ซิงเควลลีร์) Thing แปลว่าสภา Vellir แปลว่าทุ่งหญ้า รวมกันแปลว่าสภาทุ่งหญ้า ในปี 930 หลังจากที่ชาวไวกิ้งได้เข้ามาแล้ว ได้มีการจัดตั้งรัฐสภาแห่งแรกของโลกขึ้น โดยเลือกนาย Thorsteinn In Golfsson ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา การประชุมสามัญประจำปีได้กำหนดขึ้นในเดือนมิถุนายน ด้วยเหตุผลคือมีแสงแดดสว่างเกือบ 24 ชั่วโมงและอากาศกำลังสบาย ที่เลือกทำเลตรงนี้เพราะเหมาะจะใช้เป็นเวที เห็นหน้าผู้ฟังชัดเจน จึงได้กลายเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์และออกกฎหมายปกครองตกเองอีกหลายฉบับ และยังเป็นที่ตัดสินคดีสำคัญ ๆ หลายคดี อย่างบริเวณน้ำใสๆ นี่ ในอดีตใครทำผิดก็จับกดหัวลงน้ำให้สารภาพผิด บริเวณนี้ถือเป็นร่องแตกแยกของแผ่นดินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ตรงรอยแยกของหุบเขากับทะเลสาบ Pingvallavatn ซึ่งเป็นทะเลสาบธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ และเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไอซ์แลนด์อีกด้วย สำคัญขนาดนี้ไม่มาไม่ได้แล้วค่าปัจจุบันได้ถูกขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลก ในปี 2004 พื้นที่กว้างใหญ่มาก ถ้าอยากเดินทั่ว ๆ ก็ควรเผื่อเวลาไว้นานหน่อยค่ะ ยังมีอีกหลายส่วนที่เราไปได้เข้าไปดูอย่างบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เอาไว้โยนเหรียญเสี่ยงทายจากซิงเควลลีร์นั่งรถต่อไปชมน้ำพุร้อน Geysir ประมาณ 45 นาทีค่ะเดินตามนักท่องเที่ยวกับกลิ่นกำมะถันไปเรื่อย ๆ ไม่หลงแน่นอน จากชื่อน้ำพุร้อน Geysir ปัจจุบันถูกเรียกทับศัพท์ว่าคือน้ำพุร้อนน้ำพุที่เราจะชมกันคือ น้ำพุ Stokkur แปลว่าที่กวนน้ำ เฉลี่ยแล้วจะพุ่งขึ้นมาทุก ๆ 10-15 นาที สูงราว ๆ 22 เมตร จากอดีตเคยสูงถึง 60 เมตร ก่อนน้ำจะพุ่งเราจะได้ยินเสียงน้ำเดือดก่อน และเสียงที่การันตีได้อีกเสียงคือเสียงฮือฮาของนักท่องเที่ยวนี่แหละค่ะ พอน้ำเริ่มพุ่งขึ้นมาก็กดชัตเตอร์กันรัว ๆ ชมน้ำพุร้อนเสร็จแล้วก็ไปทานอาหารกลางวันกันค่ะ ร้านอาหารตั้งอยู่ในโรงแรม Geysir ตรงข้ามกับน้ำพุร้อน ทำเลดีมากกกก แต่นักท่องเที่ยวก็เยอะมากกก
ช่วงบ่าย ไปชมน้ำตก Gullfoss ห่างจากตรงนี้แค่เพียง 15 นาทีค่ะGull แปลว่าทอง Foss แปลว่าน้ำตก รวมกันก็แปลว่าน้ำตกทองคำ เป็น 1 ในน้ำตกที่มีชื่อเสียง สวยงาม และอลังการจนได้รับฉายาว่าเป็น ไนแองการ่าแห่งยุโรปด้านบนน้ำตกมีพื้นที่กว่า 1 กม ค่อย ๆ หักมุมทำโค้งวนคล้ายบันได 3 ขั้น ลาดเอียดลดระดับกันลงมา ช่วงแรกสูง 11 เมตร ช่วงที่สองสูง 20 เมตร รวมความสูงทั้งหมด 31 เมตร มีความยาวประมาณ 2.5 กม. และลึกกว่า 70 เมตร สิ่งที่ชอบมากในการมาเที่ยวไอซ์แลนด์คือได้ชมธรรมชาติแบบใกล้ชิดสนิทแนบแน่นกันจริงๆ ปราศจากการปรุงแต่งใด ๆ ถ้าเป็นที่อื่นป่านนี้คงมีหอคอย ล่องเรือชม หรือไม่ก็คาสิโน โรงแรมผุดขึ้นมาใกล้ๆ แน่ ๆ มุมนี้ถ้าใครเข้าไปชมใกล้ๆ เปียกแน่ๆ ค่ะ ถ้าไม่อยากเปียกมากนัก แนะนำให้ขึ้นมาด้านบนได้ชมวิวมุมกว้าง ๆ โต้ลมแรง ๆ เห็นธารน้ำค่อย ๆ ไหลมาเรื่อย ๆ ก่อนตกเป็นน้ำตกส่วนบริเวณรอบ ๆ ก็จะมีร้านขายของที่ระลึก ร้านคาเฟ่แล้วก็ห้องน้ำบริการอยู่ค่ะ และโปรแกรมสุดท้ายสำหรับไอซ์แลนด์ก็คือ แช่น้ำแร่ที่บลู ลากูน (Blue Lagoon) ด้วยเราจะต้องขึ้นเครื่องกลับไปที่ปารีสคืนนี้ จึงจัดโปรแกรมเที่ยวบลู ลากูน ไว้เป็นโปรแกรมสุดท้าย จะได้อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนขึ้นเครื่อง พรุ่งนี้เช้าถึงปารีสก็จะได้เที่ยวกันต่อ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ได้อาบน้ำกันเลย ไม่ไหว ไม่ไหวค่า จากน้ำตก Gullfosss มาถึงนี่ใช้เวลาประมาณ 02.30 ชั่วโมง อยู่ทางเดียวกับที่จะไปสนามบินค่ะบลู ลากูน เป็นสปาที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยียนปีละกว่า 5 แสนคน รถบัสทั้งใหญ่ ทั้งเล็กจอดรอนักท่องเที่ยวอยู่ด้านหน้ามากมายเข้าไปด้านในแล้ว เจ้าหน้าที่จะตรวจตั๋วแล้วก็จะให้สายรัดข้อมือที่ใช้ในการสแกนทั้งเข้าและออก รวมถึงการเปิด/ปิดตู้ล็อคเกอร์ ควรติดตัวไว้ตลอดเวลา ด้านในมีล็อคเกอร์ ไดร์เป่าผม ถุงใส่เสื้อผ้าเปียกไว้ให้ แบ่งเป็นล็อค ๆ ไปหลังจากเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำแล้ว ต้องไปอาบน้ำก่อนที่จะลงไปแช่น้ำแร่ ตรงนี้อาจจะไม่ค่อยสะดวกสำหรับคนไทยอย่างเราเพราะจะมีห้องที่มีประตูปิดอยู่ไม่มาก ส่วนมากก็คือเป็นฝักบัวยืนอาบเรียงกัน ถ้าอยากได้ห้องมีประตูก็ต้องรอหน่อยค่ะ พออาบเสร็จแล้วก็สามารถออกไปด้านนอก เอาผ้าขนหนูแขวนไว้ที่ราวแขวนก่อนลงแช่ ทีนี้ก็จะงงกันแน่ ๆ ว่าผ้าใครเป็นของใครเพราะเหมือนกันไปหมดในปี 1976 มีการตั้งโรงงานผลิตไฟฟ้าขึ้นมาชื่อ Svartsengi โรงงานที่เจาะเอาแรงดันไอร้อนใต้พิภพมาผลิตกระแสะไฟฟ้าให้ประชาชนและใช้ในการอุตสาหกรรม ซึ่งน้ำนี้เป็นน้ำร้อนจัด แต่อุดมไปด้วยแร่ธาตุนานาชนิดจากใต้ดิน หลังผ่านกระบวนการผลิตแล้วก็ปล่อยน้ำออกมาในทะเลสาบ และควบคุมน้ำในทะเลสาบให้อยู่ประมาณ 37-39 องศา ดังนั้นน้ำนี้จึงไม่ใช่ทะเลสาบตามธรรมชาตินะจ๊ะ แต่เป็นของขวัญจากธรรมชาติ จริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจสร้างให้เป็นแบบทุกวันนี้ แต่หลังจากปล่อยน้ำออกมาแล้วมีคนลงไปแช่ แล้วรู้สึกว่าดีต่อผิวพรรณและสามารถรักษาอาการของโรคผิวหนังบางอย่างได้เช่น โรคสะเก็ดเงิน โดยเฉพาะแร่ธาตุ Silica โคลนขาว ๆ ที่เค้ามีไว้บริการริมสระไว้ให้คนพอกหน้าค่ะ เราก็พอกกันหน้าขาวเลย น้ำที่นี่เหมาะกับผิวพรรณเท่านั้นไม่เหมาะกับผมเราอย่างยิ่ง ดังนั้นสุภาพสตรีผมยาว ๆ ควรรวบผมขึ้นไปให้พ้นน้ำ ไม่อย่างนั้นผมของคุณอาจเป็นไม้กวาดหยากไย่ได้ น้ำในทะเลสาบมีการเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 36 ชม ดังนั้นมั่นใจในความสะอาดได้หลังจากแช่น้ำกันหนำใจแล้วก็อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ทานอาหารเย็นกันที่นี่ก่อนไปสนามบินค่ะ ส่วนใครอยากได้ผลิตภัณฑ์จากที่นี่ก็สามารถแวะซื้อได้ที่ร้านขายของที่ระลึกได้เวลาแล้วไปสนามบิน Keflavik กันค่ะ ระบบของสนามบินนี้ทันสมัยทีเดียว เราสามารถเช็คอินได้ที่ตู้ ปริ้นท์ Boarding pass, tag กระเป๋า รอเวลาเคาเตอร์เปิด โหลดกระเป๋าแค่นี้ เรียบร้อยค่ะ
บ๊าย บาย ไอซ์แลนด์ รีวิวหน้า รีวิวเที่ยวฝรั่งเศส เส้นทางนอร์มังดี ลุ่มแม่น้ำลัวร์ ตอนที่ 4 –>
รีวิวเที่ยวฝรั่งเศส เส้นทางนอร์มังดี ลุ่มแม่น้ำลัวร์ ตอนที่ 4 : เมืองรูอ็อง เมืองอองเฟลอร์