ใกล้ถึงช่วงท่องเที่ยวอีกครั้ง ชอบไปเที่ยวช่วงอากาศสบาย ๆ ที่สำคัญห้ามร้อนเด็ดขาด บ้านเราร้อนพอแล้วค่า ก็จะมีแค่ช่วงเม.ย. พ.ค. แล้วก็ ก.ย. ต.ค. หลังจบทริปลากกระเป๋าไปญี่ปุ่นเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็ลงความเห็นกันว่าปีนี้ไปไอซ์แลนด์แล้วกัน สืบเนื่องมาจากปีที่แล้วที่หาขอมูลประเทศไอร์แลนด์ แล้วก็เห็นไอซ์แลนด์เด้งขึ้นมา สวยไม่เบา มั่นใจว่าในแก๊งค์ยังไม่มีใครไปแน่ ๆ เอาแหละว๊า…ยิ่งไป ยิ่งไกล ว่าแต่ไอซ์แลนด์ที่ภูเขาไฟเพิ่งจะระเบิดไป อยู่ตรงไหนกันละเนี่ย มองไปค่ะด้านซ้ายบน ติ่งเล็ก ๆ ซ้ายเกือบสุดของทวีปยุโรป เป็นเกาะตั้งอยู่โดดเดี่ยว ถ้าบินจากลอนดอนหรือปารีสใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง แต่ถ้าบินมาจากฝั่งนิวยอร์ก อเมริกาก็ 5 ชั่วโมงเองค่ะ แล้วถ้าไปจากไทยหล่ะ… แผนที่ไอซ์แลนด์ (credit: worldometers.info)เริ่มหาข้อมูลดู ฝนตกเยอะเชียว อย่างนี้ต้องเลือกเดือนที่ฝนตกน้อย ๆ หน่อย อย่าลืมว่าประเทศที่มีสภาพเป็นเกาะ อากาศแปรปรวนมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเกาะอังกฤษ เกาะญี่ปุ่น ตามสถิติเดือนพฤษภาคมนี่แหละฝนตกน้อยที่สุดและด้วยเราไม่ได้ตั้งใจจะไปดูแสงเหนือ ก็เลยสามารถไปเดือนนี้ได้ อากาศกำลังสบายและไม่ต้องไปแย่งชิงกันในช่วง summer ของทางยุโรป (มิ.ย.-ก.ย.) แต่ถ้าใครตั้งใจไปดูแสงเหนือ ไอซ์แลนด์ก็เป็นอีกประเทศที่สามารถเห็นได้ชัดเจน แต่ต้องไปช่วงหน้าหนาว ตั้งแต่ปลาย ต.ค.ไปจนถึงประมาณ มี.ค. ต้องลองหาข้อมูลดูค่ะว่าปีนั้นช่วงไหนมีโอกาสเห็นมากที่สุดสรุปโปรแกรมเส้นทางนี้ของเราออกมาเป็นไอซ์แลนด์-นอร์มังดี ฝรั่งเศส 13 วัน 11 คืน (15-27 พ.ค. 2014) โดยจะเที่ยวอยู่ที่ไอซ์แลนด์ 5 วัน 5 คืน และฝรั่งเศสอีก 6 วัน 5 คืน มี 1 คืนที่เรานอนกันบนเครื่องบินระหว่างบินจากไอซ์แลนด์ไปปารีส ส่วนอีก 2 วันที่เหลือคือวันเดินทางเพราะเราเลือกบินไฟล์ทเช้า ที่พ่วงฝรั่งเศสมาด้วยเหตุผลสั้น ๆ ว่าไหน ๆ ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ยุโรป ไม่เมืองใดก็เมืองหนึ่งอยู่แล้ว จากจะขอแวะช็อปขากลับซะวันสองวันก่อนกลับ เลยลากยาวไปเที่ยวนอร์มังดีด้วยเลยละกัน (เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย)เตรียมทำวีซ่าเชงเก้นกันอีกรอบ ถ้าใครไปไอซ์แลนด์เดี่ยว ๆ ต้องไปทำที่สถานฑูตเดนมาร์กค่ะ แต่ทริปเราเอี่ยวฝรั่งเศสด้วยและที่สำคัญใช้เวลาที่ฝรั่งเศสนานกว่าก็เลยต้องไปขอวีซ่าเชงเก้นฝรั่งเศสกัน ปัจจุบันศูนย์รับคำร้องวีซ่า TLS contact เป็นตัวแทนรับยื่น ผู้ยื่นต้องไปยื่นด้วยตนเอง นอกจากยื่นเอกสารแล้ว ต้องสแกนลายนิ้วมือเป็นหลักฐานด้วยนะคะ ข้อมูลนี้สามารถเก็บได้ 5 ปี หมายความว่าภายใน 5 ปี ถ้าไปกลุ่มประเทศเชงเก้นก็ไม่ต้องสแกนลายนิ้วมืออีกค่ะ แต่ยังคงต้องยื่นเอกสารเหมือนเดิมเท่านั้นเอง
เอกสารการขอวีซ่าฝรั่งเศส เปลี่ยนอยู่เรื่อย ๆ ทางที่ดีเช็คจากเวบไซต์ https://wwww.tlscontact.com/th2fr/login.php
ใช้เวลา 10 วันทำการพอดี วันไปรับวีซ่าดีใจยิ่งกว่าถูกรางวัล ได้มา 1 ปี เย้ๆ ถ้าใครเคยสแกนลายนิ้วมือแล้ว จะมีคำว่า VIS อยู่ด้านล่างค่ะสายการบิน : ถ้าจะไปเที่ยวไอซ์แลนด์ไม่มีบินตรงจากกรุงเทพนะคะ ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ยุโรป เลือกดูตามสะดวกว่าจะใช้บริการสายการบินไหน สะดวกที่จะเปลี่ยนเครื่องกี่ครั้ง อย่างของเราไม่อยากเปลี่ยนเครื่องหลายตุ๊บเกินไป เลยเลือกที่จะหาสายการบินที่บินตรงไปยุโรป แล้วค่อยต่อ Iceland Air จากยุโรปบินเข้าไอซ์แลนด์ เพราะถ้าบินสายการบินตะวันออกกลาง ก็ต้องแวะเปลี่ยนเครื่อง 1 ครั้งแล้วค่อยบินเข้ายุโรป แล้วก็ต้องบินต่อไปไอซ์แลนด์อีก คิดแล้วก็ไม่ไหว ๆๆๆ รอบนี้เลยสรุปจะใช้บริการของ Air France บินตรงกรุงเทพ-ปารีส ที่สำคัญเครื่องออกเช้าถึงเย็น นอนก่อน 1 วันก่อนเริ่มเที่ยว ตามคอนเซปต์เดิมเป๊ะ แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยต่อเครื่องจากปารีสไปไอซ์แลนด์ค่ะเครื่องเช็คอินด้วยตนเอง เลิศล้ำทันสมัย ใช้งานไม่ยาก ใครทำไม่เป็นก็มีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือทุกขั้นตอน ปริ้นท์ Boarding pass ออกมาได้เองเลย เราแค่เดินไปโหลดกระเป๋าที่เคาเตอร์เช็คอิน ก็สะดวกดีค่ะเที่ยวบินนี้จะออกจากกรุงเทพเวลา 09.50 น. ใช้เวลาบินประมาณ 12 ชั่วโมง ถึงสนามบินปารีส ชาร์ลส เดอ โกล (CDG) เวลา 16.45 น.ที่นั่งบนเครื่องเป็น 3-4-3อาหารบนเครื่อง อาจจะไม่เยอะเท่าสายการบินอื่น ๆ แต่ถ้าเครื่องดื่มอย่างไวน์หรือแอลกอฮอล์ต่าง ๆ Air France ไม่น้อยหน้าแน่ๆ ค่ะ สังเกตได้จากบนถาด นอนเอนมาเลย ไม่ต้องขอ ระหว่างบินก็สามารถเดินไปหยิบน้ำทานได้เองที่ galley มีแก้ว น้ำแข็ง เครื่องดื่มต่าง ๆ self-service กันได้เลย ไม่ต้องใจจดจ่อรอแต่แอร์หรือสจ๊วตมาเสิร์ฟ แล้วก็ยังมีผลไม้ ไอศครีมเสิร์ฟด้วยและแล้วเราก็มาถึงสนามบินชาร์ลส เดอ โกล (CDG) กรุงปารีส ผ่าน ต.ม. รับกระเป๋า รถโค้ชมารับเราไปโรงแรมที่พักคืนนี้ Best Western Paris CDG airport ไม่เกิน 10 นาทีจากสนามบินค่ะ ทานข้าวเย็นกันที่โรงแรม รีบพัก รีบนอน พรุ่งนี้ต้องออกจากโรงแรมตีสี่ครึ่ง เพื่อเช็คอินไปไอซ์แลนด์กันต่อช่วงใกล้จะเดินทางมีข่าวว่า Iceland Air มีสไตร์ค หลายเที่ยวบินดีเลย์ หลายเที่ยวบินยกเลิก ใจไม่อยู่กะเนื้อกะตัวมาหลายวัน ลุ้นอยู่ทุกวันจะโดนมั้ยน๊าเพราะถ้าโดนยกเลิกขึ้นมาไม่สนุกแน่ ๆ พอได้เช็คอิน โหลดกระเป๋า เห็นเครื่องจอดรอตัวเป็น ๆ โล่งใจไปมากกกกผู้โดยสารเป็นฝรั่งทั้งลำ ที่นั่งเป็นแบบ 3-3 มีเสิร์ฟแค่เครื่องดื่มค่ะ ส่วนอาหารถ้าใครต้องการทานก็สามารถสั่งล่วงหน้าหรือซื้อบนเครื่องได้ ใช้เวลาบินสามชั่วโมงครึ่ง หลับ ๆ ตื่น ๆ และแล้วเราก็มาถึงสนามบินเคฟลาวิค (Keflavik Airport) ตั้งห่างจากเมืองหลวงเรคยาวิก (Reykjavik) แค่ 45 นาที ไม่ต้องผ่าน ต.ม. แล้วนะคะ เพราะเราเข้ากลุ่มประเทศเชงเก้นมาแล้ว รับกระเป๋าอย่างเดียวแล้วก็เดินออกมาได้เลยพ้นประตูออกมา ถ้าอยากแลกเงินก็สามารถแลกที่นี่ได้ ประเทศไอซ์แลนด์มีสกุลเงินเป็นของตัวเองนั่นคือ โครนเน่อร์ ไอซ์แลนด์ (Kronur ISK) ประเทศนี้ถือว่าเป็นประเทศที่ใช้เงินสดในประเทศต่ำมาก สามารถชำระด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตได้เลย แม้กระทั่งจ่ายค่าแท๊กซี่ ก่อนออกจากประเทศนี้อย่าลืมแลกเงินคืนเป็นยูโรด้วยนะคะเพราะออกจากประเทศนี้ไปแล้วไม่มีที่ไหนใช้โครนเน่อร์ ไอซ์แลนด์แล้วค่ะรถโค้ชรอรับเราอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงเรคยาวิก (Reykjavik) กันเลยค่ะ เมืองหลวงที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือที่สุดและปลอดมลพิษที่สุดในโลก เป็นเมืองหลวงขนาดเล็ก ไม่มีตึกสูงเฉียดฟ้าเหมือนเมืองหลวงอื่น ๆ ตั้งอยู่ริมอ่าว บ้านเรือนก็ไม่แออัด ได้ชื่อว่าเป็นนครแห่งสปาเพราะมีบ่อน้ำร้อนอยู่มากรู้จักไอซ์แลนด์กันสักนิด ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งน้ำแข็งและเปลวไฟ (Land of Ice and Fire) ตัวเกาะมีลักษณะเป็นที่ราบริมชายฝั่ง ลึกเข้าไปใจกลางแผ่นดิน เต็มไปด้วยธารน้ำแข็ง ในทางธรณีวิทยาถือว่าเป็นแผ่นดินใหม่ และเป็นประเทศล่าสุดของทวีปยุโรปและเป็นประเทศที่อายุน้อยที่สุดในโลก เพิ่งมีมาเมื่อ 25 ล้านปีที่แล้ว (เปรียบง่าย ๆ ว่าถ้าโลกเรามีอายุ 1 ปี ไอซ์แลนด์เพิ่งเป็นเบบี๋แค่ 2 วันเอง) และแล้วเราก็มาถึงแลนด์มาร์กที่สำคัญของเมืองหลวงนี้ โบสถ์ฮาล์สกรีมเคิร์กยา (Hallgrímskirkja) โบสถ์รูปร่างทรงแปลกตา ออกแบบโดยสถาปนิกแห่งชาติ นายกุดโยน ซามูเอล (guðjón samúelsson) ผู้ที่ได้ออกแบบ University of Iceland, โรงละครแห่งชาติและ RC Church of Christ the King ส่วนชื่อโบสถ์ได้ตั้งชื่อตามนักกวีและนักประพันธ์ Hallgrímur Pétursson ผู้แต่งเรื่อง The Passion Hymns เป็นโบสถ์นิกาย Lutheran Parish Church มีความสูง 74.5 เมตร เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์และเป็นหนึ่งในโครงสร้างที่สูงที่สุดในประเทศ เห็นรูปทรงทันสมัยขนาดนี้ไม่ได้เพิ่งสร้างนะคะ แต่ได้เริ่มออกแบบในปี ค.ศ.1937 และได้เริ่มสร้างในปี ค.ศ 1945 สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อ 26 ตุลาคม 1986 หนึ่งวันก่อนที่จะถึงวันครบรอบการเสียชีวิตครบ 312 ปีของ Hallgrímur Pétursson และเป็นปีเดียวกับที่กรุงเรคยาวิกเฉลิมฉลองครบรอบ 200 ปีที่ได้รับสถานะให้เป็นเมืองเล็ก (town) และปัจจุบันคือเมืองใหญ่ (City) รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ –> https://www.hallgrimskirkja.is/english/ส่วนรูปปั้นที่อยู่ด้านหน้าคืออนุสาวรีย์ของ เลฟร์ เอริคสัน (Leif Ericsson) ตามประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นชาวนอร์ส ชาติยุโรปคนแรกที่ไปเหยียบอเมริกาเหนือและกรีนแลนด์ ได้ค้นพบอเมริกาก่อนโคลัมบัส 500 ปี โดยอนุสาวรีย์นี้ ทางอเมริกาเป็นคนมอบให้ไอซ์แลนด์เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 1 สหัสวรรษของรัฐสภาไอซ์แลนด์ด้านในเข้าไปชมได้นะคะ มีออร์แกนยักษ์ออกแบบโดยชาวเยอรมัน ชื่อ Johannas Klais สูง 5 เมตร หนัก 25 ตันออกจากโบสถ์แล้วไปแวะ City Hall กันทะเลสาบกลางกรุง Tjorninภาษาไอซ์แลนด์ อ่านยากมาก ถือเป็นภาษาหลักของประเทศแต่ภาษาอังกฤษก็ใช้กันทั่วไปเหมือนกันค่ะ อัตราคนอ่านหนังสือได้ของประเทศนี้ 99.9% และการมอบหนังสือให้เป็นของขวัญวันคริสต์มาสถือว่าเป็นของขวัญยอดนิยมที่สุด สุดยอดมากกกกก….ก่อนทานข้าวเที่ยง แวะไปที่ Harpa Music Hall ตัวอาคารสร้างด้วยกระจก รูปร่างลักษณะทรงตึกได้แนวความคิดมาจากหินบะซอลต์ เป็นศูนย์แสดงดนตรีและศูนย์การประชุมแห่งใหม่ล่าสุด เพิ่งเปิดเมื่อปี ค.ศ. 2010วิวข้าง ๆ ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเมืองนี้ไม่ได้มีแต่ธรรมชาติสวยอย่างเดียว ยังมีถนนช้อปปิ้ง Laugavegur เป็นหนึ่งในถนนที่มีความเก่าแก่ที่สุดในกรุงเรคยาวิก ชื่อนี้หมายถึง Water Road เนื่องจากมีน้ำขึ้น ๆ ลง ๆ บริเวณนี้เพราะเคยมีผู้หญิงนําผ้ามาซักที่สระน้ำร้อนแห่งนี้ ถนนเส้นนี้เริ่มต้นทางทิศตะวันออกที่ Kringlumýrbraut ใกล้กับห้าง Kringlan และสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุด Laugardalur เรื่อยไปจนถึงทางฝั่งตะวันตกที่ Bankastræti ซึ่งมุ่งหน้าไปสู่ดาวน์ทาวน์ มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร แหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมเริ่มต้นที่ศูนย์รถบัสของเมือง Hlemmur และยาวไปถึง Bankastræti ทางด้านทิศตะวันตกของที่นี่คือเขตเศรษฐกิจ มีทั้งร้านค้า ร้านเสื้อผ้า ร้านกาแฟเก๋ๆ ร้านหนังสือ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายเสื้อหนาวชื่อดังอย่าง 66 North และ Iceware ร้านขายของที่ระลึก ผับ บาร์ ส่วนถ้าใครสนใจพิพิธภัณฑ์ บริเวณนี้มีอยู่ 2 ที่คือ The Phallological Museum เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งเดียวในโลกที่อุทิศตนเพื่อความเข้าใจในอวัยวะเพศของสิ่งมีชีวิตเพศชายจากทั่วอาณาจักรของสัตว์ และ Punk Museum แวะซุปเปอร์มาร์เก็ต Kronan กันก่อนจะมุ่งหน้าลงใต้สู่เมืองวิค (Vík) เป็นหมู่บ้านทางใต้สุดในไอซ์แลนด์ตั้งอยู่บนถนนวงแหวนหลักรอบเกาะ ระยะทางจากเมืองเรคยาวิกมาประมาณ 180 กิโลเมตร มีประชากรประมาณ 320 คน (ข้อมูลจาก Wikipedia ปี ค.ศ. 2016)ช้อปปิ้งเรียบร้อยแล้วนั่งรถต่อไปอีกประมาณสองชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงที่พักคืนนี้ค่ะ Hotel Dyrholaeyรถคนอื่นเค้าภายในโรงแรมและห้องพัก มีแค่ชั้นเดียว ห้องพักเรียบ ๆ แต่ดูวิวนอกหน้าต่างดีกว่าช่วงนี้ไอซ์แลนด์มืดราว ๆ 5 ทุ่มและสว่างประมาณตี 3 ค่ะ นอนยังไม่ทันไรสว่างซะละวันที่สามของการเดินทาง โปรแกรมวันนี้จะไปชมน้ำตก Svartifoss หรือน้ำตกดำ จากเมืองวิค (Vík) นั่งรถไปประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ วิวแบบนี้นั่งไปไม่มีเบื่อและแล้วเราก็มาถึงจุดจอดรถที่เราต้องลงและเดินเท้าต่อเข้าไปชมน้ำตกดำกันระยะทาง 1.5 ก.ม. จิ๊บ ๆ พร้อมลุยละค่า ฝนแอบโปรยลงมาเบา ๆ เดินชมธรรมชาติไปเรื่อย ๆ ยังไม่ใช่น้ำตกนี้ค่ะอีก 800 เมตรเห็นแล้วอยู่ลิบ ๆ นั่นเองที่เรียกว่าน้ำตกดำเพราะถูกล้อมรอบไปด้วยแท่งหินลาวาสีดำ ถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อย เดินย้อนกลับมาทางเดิมแวะทานอาหารกลางวัน ก่อนจะไปล่องเรือที่ทะเลสาบโจกุลซาลอน (Jokulsalon)ทะเลสาบธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ตรงปลายทางของธารน้ำแข็งพันปี Vatnajokull เกิดจากการละลายของกลาเซียร์ Breioamerkurjokull ตั้งอยู่ระหว่างอุทยานแห่งชาติ Skeftafell และเมืองฮั่ฟ Hofn ฟ้าหม่นมากก แง ๆๆ ฝนตกแล้ว ปัจจุบันกินพื้นที่กว่า 18 ตร.กม. ลึก 250 เมตร เป็นทะเลสาบที่ลึกมากที่สุดของไอซ์แลนด์ เคยเป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง James Bond 007 ตอน Die another day วิ่งหลบฝนมานั่งรอกันด้านในนี้ก่อนจะถึงรอบที่เราจะได้ไปล่องเรือกันรถสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกฝนตกปรอยๆ แต่เช้าไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย เปียกเป็นเปียก กว่าจะมาถึงที่นี่ ไม่ได้มากันง่าย ๆ นิก่อนจะล่องเรือทุกคนต้องสวมเสื้อชูชีพให้เรียบร้อย ส่วนเราก็มีเสื้อกันฝนเพิ่มมาอีกชั้น อากาศที่เย็นอยู่แล้วบวกกับสายฝนที่เริ่มชุ่มฉ่ำขึ้นเรื่อย ๆ หนาวเหน็บกันเลยทีเดียว พอรถลงน้ำปุ๊ปทุกคนก็พร้อมใจกันยืนปั๊ปอยากไปกับพี่คนนี้ๆๆๆกลาเซียร์ที่แตกเป็นก้อนเล็ก ก้อนใหญ่ สวยจัง ชิมได้นะคะอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงไอซ์แลนด์ เสียดายที่วันนี้ฟ้าฝนไม่เป็นใจเลย ต้องกลับมาซ่อมใหม่ซะละบ๊ายบายโจกุลซาลอนไปแบบชุ่มฉ่ำ ก่อนกลับโรงแรม แวะชมธารน้ำแข็งกันก่อนค่ะธารน้ำแข็งดำ Snæfellsjökull ธารน้ำแข็งที่ปกคลุมภูเขาไฟมีอายุกว่า 700,000 ปีทางตะวันตกของไอซ์แลนด์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ทางตะวันตกของคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส (Snæfellsnes peninsula) และ Skaftafellsjökull เป็นธารน้ำแข็งลักษณะเหมือนลิ้น ที่พุ่งออกมาจาก Iceland’s largest ice cap Vatnajökull ตั้งอยู่ใน Skaftafell ซึ่งเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติใน Öræfi, Vatnajökull National Park เป็นหนึ่งในหลายลิ้นที่ทอดยาวจากธารน้ําแข็งที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป Vatnajökull ธารน้ำแข็งนี้สั้นลงทุกปีเพราะภาวะโลกร้อน รถจอดแล้วก็เดินเข้าไปกันเลยค่ะ ชอบไอซ์แลนด์จังคือได้อิงแอบแนบชิดธรรมชาติสุด ๆ แต่ด้วยภาวะโลกร้อนมีผลกระทบอย่างมากกับไอซ์แลนด์ ถ้าไม่ได้ไปเห็นจริง ๆ คงจะไม่เข้าใจว่าคนกับธรรมชาติทำไมถึงเกี่ยวพันกันมากขนาดนี้นั่งรถต่อไปที่พักโรงแรมคืนนี้กัน Hotel Skaftafell โดดเดี่ยวท่ามกลางขุนเขา หลังทานอาหารเย็นกันเรียบร้อยที่โรงแรมแล้ว ถึงโปรแกรมเดินย่อยอาหาร จะเดินไปธารน้ำแข็งที่อยู่ข้าง ๆ โรงแรม พร้อมลุยค่ะข้อดีของการมาเที่ยวช่วงฤดูนี้คือช่วงกลางวันยาวมาก ตอนที่เราเริ่มเดินนี่ก็สองทุ่มกว่าแล้ว ท้องฟ้ายังสว่างโร่ ช่วงมืดประมาณห้าทุ่มถึงแค่ตีสาม แล้วก็ไม่ได้มืดมากด้วยนะคะ เดินกันเพลินเลย ถนนนี่นี้ป้าจองเห็นเหมือนใกล้ แต่ทำไมเดินมาเนิ่นนานไม่ถึงซะทีชอบรูปนี้ ไม่คิดว่าจะได้มาเดินบนแผ่นดินนี้จริง ๆ พื้นที่ส่วนมากของไอซ์แลนด์แห้งแล้ง รกร้าง ทำการเพาะปลูกได้ยาก ว่ากันว่าในอดีตยังไม่แห้งแล้งขนาดนี้ แต่เมื่อชาวไวกิ้งอพยพเข้ามาก็ตัดไม้ทำลายป่า เอาไม้ไปสร้างบ้าน ทำฟืน โดยไม่รู้ถึงความบอบบางของดินแดนแห่งนี้ มีการนำแกะมาบนเกาะ ยิ่งช่วยเร่งความเสื่อมโทรมของหน้าดินซึ่งเป็นหน้าดินภูเขาไฟ การจะทำให้พืชพันธุ์กลับมางอกเงยจึงเป็นเรื่องยากกกทีเดียวเห็นแล้วลิบ ๆ ไปใกล้ได้แค่นี้เพราะมีธารน้ำกั้นขวางเราอยู่ซูม ๆๆๆขาไปแรงยังดีอยู่ ขากลับเดินยังไงก็ไม่ถึงโรงแรมซะที….
ติดตามตอนหน้ารีวิวเที่ยวไอซ์แลนด์_Iceland on the moon ตอนที่ 2 : https://dreamfirsttrip.wordpress.com/%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%a7%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b9%84%e0%b8%ad%e0%b8%8b%e0%b9%8c%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%8c__iceland-on-the-moo/