รีวิวเที่ยวยุโรปตะวันออก ตอนที่ 2: มิวนิค,พิพิธภัณฑ์ BMW, ปราสาทนอยชวานสไตน์ เมือง ฟึสเซ่น (Füssen)

วันที่สามของการเดินทาง : หลังจากทานอาหารเช้ากันแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางข้ามพรมแดนไปประเทศเยอรมนีกันอีกรอบ วันนี้มุ่งหน้าสู่มิวนิค (Munich) หรือ München มึนเช่น เมืองหลวงของแคว้นบาวาเรีย เมืองใหญ่อันดับสามรองจากเบอร์ลินและฮัมส์บูรก์ ใช้เวลาเพียงชั่วโมงครึ่งเราก็มาถึงมิวนิคกันแล้วค่ะ และที่แรกที่เราจะไปเที่ยวกันคือพิพิธภัณฑ์บีเอ็มดับเบิ้ลยู (BMW World Museum) สถานที่จัดแสดงวิวัฒนาการของรถยนต์ BMW ซึ่งมีต้นกำเนิดที่เมืองมิวนิคแห่งนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1916 ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ –> https://www.bmw-welt.com/en.html
ตึกที่เป็นอาคารรูปทรงกระบอกสูบรถยนต์เป็นสำนักงานใหญ่ ส่วนตึกที่มีลักษณะเป็นชามคือพิพิธภัณฑ์ ค่าก่อสร้างตึกประมาณ 9,500 ล้านบาทเอง จิ๊บๆa81a82
เราจองเป็น Private tour พร้อมไกด์ที่พูดภาษาอังกฤษ หลังจากติดต่อที่เคาเตอร์เรียบร้อยแล้วก็รอเจ้าหน้าที่ที่จะพาเราเข้าไปชมด้านใน เจ้าหน้าที่จะอธิบายเป็นภาษาอังกฤษและป้าจะเป็นคนแปลเป็นภาษาไทยให้กับเดอะแก๊งค์ของเรา โดยทุกคนจะต้องสวมหูฟังไว้ ทัวร์นี้ใช้เวลาประมาณ 1-1.30 ชั่วโมง ด้านในอนุญาตให้เราถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอได้สบายมาก พิพิธภัณฑ์นี้มีการนำเสนอที่น่าสนใจ มีเทคนิคในการจัดเพื่อดึงดูดความสนใจของคนดูได้ดีทีเดียวค่ะa83
BMW ย่อมาจาก Bavarian Motor Work (Bayerische Motoren Werke) โดยผู้ผลิตรถยนต์ 3 บริษัทใหญ่ Rapp Motorwn werk, BayerischeFlugzeugweke และ Fahrzeugfabrik Eisenach ได้รวมตัวก่อตั้งบริษัทสร้างเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดการรบไปทั่วยุโรปจึงได้แนวคิดในการผลิตมอเตอร์ไซค์เนื่องจากต้นทุนต่ำกว่า และได้ใช้โลโก้รูปวงกลมใบพัดฟ้าขาว หมายถึงลักษณะการหมุนของใบพัดเครื่องบิน ส่วนสีฟ้าและสีขาวเป็นสีประจำแคว้นบาวาเรียa84a85

g51มอเตอร์ไซค์ตำรวจก็มีa95a87หลังจากนั้นก็ได้มีการผลิตรถยนต์ออกมา แม้รุ่นแรก ๆ ที่เป็นรถซาลูนสุดหรูจะไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่นักจนทำให้บริษัทประสบปัญหาทางการเงิน แต่สุดท้ายก็ได้รับความช่วยเหลือจนฝ่าวิกฤติมาได้ และได้ซื้อกิจการต่าง ๆ มากมายa88a89
ก่อนที่รถรุ่นใหม่จะผลิตออกสู่ตลาด ทาง BMW จะมีการปั้น model รถที่เสมือนจริงทุกอย่างก่อนจะตรวจสอบและส่งเข้าขั้นตอนการผลิตจริงa90a91
ป้ายรุ่นเก๋ ๆa92
รถที่ใช้เข้าฉากเจมส์ บอนด์ ดูใกล้ ๆ ยังมีร่องรอยของการใช้งานจริง เจ้าหน้าที่บอกว่าได้มีการผลิตรถแบบเดียวกันนี้หลายคันเพื่อใช้ในการถ่ายทำ ถ้าผลิตขึ้นมาคันเดียวคงเละน่าดูa93
และอีกคันที่เป็นไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์นี้ สีเหลือง สามล้อ ซึ่งเป็นรถรุ่นแรก ๆ เหลือเพียงคันเดียว เจ้าหน้าที่ยังต้องใส่ถุงมือก่อนจะเปิดรถคันนี้ให้ดูa94
พิพิธภัณฑ์รถที่เชื่อว่าหลายคนคงจะส่ายหัวว่าไม่ใช่แนว แต่ที่นี่มีการจัดลำดับความน่าสนใจได้ดี ยิ่งเห็นรถเก่า ๆ เก๋ ๆ แถมยังถ่ายรูปได้อีก บอกได้เลยค่ะว่าสนุกแถมยังได้ความรู้มาอีกเพียบ ถ้าใครมีแพลนมาเที่ยวมิวนิคลองแวะมาเที่ยวกันได้นะคะ….บรรยากาศภายในเมืองมิวนิค รถเบนซ์และ BMW มีให้เห็นทั่วไปตามท้องถนน หรูเลิศสมเป็นประเทศผลิตรถยนต์ชั้นนำb30ไปต่อกันที่ร้านอาหารกลางวันกันวันนี้ ถึงมิวนิคทั้งที ขาหมูเยอรมันและเบียร์ดำ อาหาร signature ของแคว้นบาวาเรีย จัดไปค่ะ…มื้อนี้ทานกันที่โรงเบียร์ Ratskeller Restaurant ตั้งอยู่ตรงจัตุรัสมาเรียนปลาส (Marienplatz) a97 ขาหมูเยอรมัน…อย่างใหญ่ นอกจากนี้ยังมีสลัด ไส้กรอก มันฝรั่ง และจบด้วยไอศครีม เกินกว่าคำว่าอิ่มมมม ไม่แปลกใจทำไมคนเยอรมันถึงตัวใหญ่จัง ^^a96
ช่วงบ่ายเดินเล่นย่อยอาหารกันอยู่แถวจัตุรัสมาเรียนปลาส (Marienplatz) จัตุรัสนี้เป็นย่านพบปะแลกเปลี่ยนสินค้ามาแต่โบราณ ปัจจุบันก็เป็นที่พบปะของนักท่องเที่ยว คนเยอะมากกกก บริเวณนี้รายล้อมด้วยสถานที่สำคัญ ๆ อย่าง ศาลาว่าการเมืองนอยเยอรัทเฮ้าส์ (Neue Rathaus) สไตล์นีโอโกธิค มีหอคอยสูง 80 เมตร ประกอบด้วยรูปปั้นคนสำคัญ ๆ ทั้งกษัตริย์ นักบุญ ดยุค ด้านหน้าตัวศาลาออกแบบโดย Georg Von Hauberrisser ในขณะที่มีอายุเพียง 24 ปี แทนที่ศาลาว่าการหลังเก่าที่มีขนาดคับแคบเกินไป เริ่มสร้างในช่วง ค.ศ.1867-ค.ศ.1892 ใช้เวลาสร้างทั้งหมด 25 ปี  g57g52ส่วนหอนาฬิกา Glockenspiei และตุ๊กตาเต้นระบำได้สร้างขึ้นมาทีหลังในปี ค.ศ.1908 จะมีตุ๊กตาออกมาเต้นระบำในเวลา 11.00 น. และ 12.00 น. ของทุกวันและเพิ่มรอบ 17.00 น. ในฤดูร้อน เป็นการแสดงวิถีชีวิตของผู้คน ประกอบไปด้วยระฆัง 43 ใบและตุ๊กตาคน 32 ตัว ตุ๊กตาในส่วนครึ่งบนบอกเล่าเรื่องราวการแต่งงานของ Duke Wilhelm ที่ 5  ผู้สร้าง Hofbräuhaus กับ Renata แห่ง Lorraine เพื่อเป็นเกียรติแก่คู่รักที่มีความสุขจึงได้มีการแข่งขันโดยมีอัศวินบนหลังม้าเป็นตัวแทนของบาวาเรีย (สีขาวและสีฟ้า) และ Lothringen (สีแดงและสีขาว) แน่นอนว่าอัศวินบาวาเรียต้องชนะสิคะ ก็เป็นเจ้าถิ่นนิหน่า ส่วนครึ่งล่างเป็นการแสดงการเต้นรำ ตามตำนานที่ว่าในปี ค.ศ.1517 เป็นปีที่เกิดโรคระบาดในมิวนิค นักเต้นได้เต้นรําไปตามถนนเพื่อนําพลังที่สดใสมาใช้กำจัดความน่ากลัวb10b2จัตุรัสมาเรียนปลาส (Marienplatz) เป็นจัตุรัสขนาดใหญ่กลางกรุงมิวนิคตั้งแต่ปี ค.ศ. 1158 เพื่อใช้เป็นที่ชุมนุม ค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า ในยุคกลางเคยเป็นตลาดเรียกว่า Markth ต่อมาเรียกว่า Schranne ที่แปลว่าตลาดข้าว และได้เรียกว่า Schrannenplatz หรือจัตุรัสค้าข้าว หลังจากนั้นได้ย้ายตลาดข้าวไปที่ตลาดที่ตกแต่งทันสมัยด้วยกระจกและเหล็ก ใกล้กับ Blumenstrasse ในปี ค.ศ.1853 และจัตุรัสนี้ก็ได้ชื่อใหม่ว่าตั้งแต่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1854g54g53 ตรงกลางจะมีเสาพระแม่มารีทองคำ (Mariensäule) ได้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1638 โดยพระเจ้าอิเล็คเตอร์แม็กซิมิเลี่ยนที่ 1 เพื่อแสดงความขอบคุณต่อพระแม่มารีที่ทำให้เมืองรอดพ้นจากการยึกครองของพวกสวิดิชในช่วงสงคราม 30 ปี  พระแม่มารีเป็นที่เคารพในฐานะผู้อุปถัมภ์ของชาวบาวาเรีย ตัวเสาทำด้วยหินอ่อนสีแดง ยอดบนแม่พระแม่มารีอุ้มพระบุตรในอ้อมแขน ยืนบนฐานของพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวในฐานะราชินีแห่งสวรรค์ (Queen of Heaven) แต่ละฐานของอนุสาวรีย์มีรูปปั้นเด็กผู้ชาย 4 คน ตั้งอยู่ 4 มุม ถือโล่ห์และดาบตั้งท่าต่อสู้กับสัตว์ร้าย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเอาชนะความยากลำบากของเมือง สิงโตเป็นตัวแทนของสงคราม โรคระบาดโดยมังกรมีปีก ความหิวโหยและความอดอยากโดยมังกร และบาปโดยพญานาค ออกแบบโดยเฟอร์ดินาน มัวมันน์ (Ferdinand Murmann) เดิมที่เสานี้ตั้งอยู่ที่ Frauenkirche และเสาที่มิวนิคนี้เป็นเสาแรกที่สร้างขึ้นทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์และเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเสาแบบนี้ในส่วนอื่น ๆ ของยุโรป g58g55g56Fischbrunnen ภาษาอังกฤษ Fish Fountain หรือน้ำพุปลา เป็นผลงานของช่างแกะสลักชาวเยอรมัน Josef Henselman สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1954 แทนที่น้ำพุก่อนหน้าซึ่งได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงในระหว่างการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง น้ำพุมีลักษณะเป็นทรงแปดเหลี่ยม ด้านบนสุดเป็นรูปปลาทองอ้วนกลม ด้านล่างเป็นเด็กผู้ชายสามคนเทน้ำลงในอ่าง มีประเพณี Ash Wednesday นายกเทศมนตรีและนายกหอการค้าของมิวนิคจะล้างกระเป๋าเงินเปล่าในน้ำพุเพื่อให้แน่ใจว่าเงินทุนในเมืองจะเต็มอีกครั้งในปีหน้าg65หลังจากนั้นเราก็เดินไปชมโบสถ์เฟราเอนเคียร์เช (Frauenkirche) โบสถ์ใหญ่ที่สุดในมิวนิค สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1468 ใช้เวลาก่อสร้าง 20 ปี ในสไตล์โกธิค จุดเด่นคือโดมทรงหัวหอม 2 ข้างเหนือมหาวิหาร โดยที่โดมทั้งสองมีความสูงไม่เท่ากัน ทางด้านเหนือสูง 98.57 เมตร ทางด้านใต้สูง 98.45 เมตร ด้วยกฏในยุคนั้นที่ห้ามไม่ให้อาคารหรือสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในเมืองมีความสูงเกิน 100 เมตร และจริง ๆ หอคอยนี้ควรมียอดแหลมตามแบบฉบับโกธิคแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการก่อสร้าง จึงได้สร้างเป็นโดมหัวหอมอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ว่าไปแล้วก็สวยไปอีกแบบ ดูเป็นเอกลักษณ์ของทางฝั่งแคว้นบาวาเรียไปเลยค่ะ g60ภายในโบสถ์นี้มีรอยเท้าปีศาจ ซึ่งในตำนานกล่าวว่าสถาปนิคผู้ออกแบบโบสถ์นี้ได้ให้สัญญากับปีศาจไว้ว่าจะไม่ให้เห็นหน้าต่างภายในโบสถ์นี้เลยเพื่อแลกกับการให้ปีศาจช่วยเหลือในการสร้างโบสถ์ให้เสร็จ หลังจากโบสถ์สร้างเสร็จแล้ว ปีศาจได้เข้ามาใจกลางโบสถ์ก็ไม่เห็นหน้าต่างแม้แต่บานเดียว เนื่องด้วยมีเสาสูงขนาบทั้งสองข้างแต่ภายในโบสถ์กลับสว่างเพราะแสงเข้ามาทางหน้าต่างซึ่งไม่มีใครมองเห็นได้ ปีศาจโกรธจัดจึงได้กระทืบเท้าจนเห็นเป็นรอยเท้าปีศาจจนทุกวันนี้ อยู่ที่บริเวณใกล้กับหน้าประตูหลัก นอกจากนี้ยังมีห้องใต้ดินที่ใช้เป็นสุสานของราชวงศ์ Wittelbachg61g63g62
b13รอยเท้าปีศาจในตำนานg66โมเดลจำลองg67ออกจากโบสถ์แล้วไปเดินเล่น ช้อปปิ้งกันที่ Neuhauser straße ถนนคนเดินช้อปปิ้งที่มากับครบแทบทุก Street brand แต่ถ้าใครสนใจแบรนด์เนมก็ไปที่ห้างนี้ได้เลยค่ะ Oberpollinger ใกล้กับ Karlstorg75g73บริเวณนี้มีโบสถ์สีขาว ๆ St. Michael เป็นที่ฝังพระศพของพระเจ้าลุดวิกที่ 2 กษัตริย์ที่สร้างปราสาทนอยชวานสไตน์ ด้านในเข้าชมได้ฟรีค่ะg68g69g72g70g71ร้านช้อปปิ้ง TK Maxx ที่ขายสินค้าทุกสิ่งอย่างทั้งเสื้อผ้า รองเท้า แว่นตา ครีม เครื่องสำอางค์ นาฬิกา กระเป๋า คือเยอะมากกกก ของก็กระจัดกระจายมาก แต่ถ้าตาดี ๆ ก็จะได้ของดีในราคาเอ้าท์เลตเลยค่ะg74เดินไปจนสุด Karlstor จัตุรัสตรงนี้คือ Karlsplatz g76g78g77หลังจากนั้น เราจะไปชมพระราชวังเรสซิเด้นท์ (Residence) ที่เคยเป็นที่ประทับและทรงงานบริหารบ้านเมืองของกษัตริย์และขุนนางแห่งแคว้นบาวาเรียมากว่า 500 ปี รวมถึงสมบัติล้ำค่าที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีb23
โซนพระราชวังและโซนที่เก็บสมบัติจะอยู่คนละส่วน ก่อนเข้าชมต้องฝากของไว้ให้เรียบร้อย โดยจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลหรือถ้าใครสนใจอยากฟัง audio ก็สามารถรับได้จากจุดนี้b24b25b26
ส่วนที่เก็บสมบัติมีทั้งมงกุฎ คฑา สร้อยคอ เครื่องประดับ เครื่องใช้ต่าง ๆ ของกษัตริย์แคว้นบาวาเรียb27b28g64ไม่ไกลกันนัก เดินไปดู Hofbräuhaus โรงเบียร์ชื่อดังg79g80g81เดิน ๆ ไปอีกนิดจะเจอร้านขาหมูชื่อดังอีกร้าน Haxbauer ได้มาชิมร้านนี้ในทริปอื่นเลยเอารูปมาฝากกัน ควรจองล่วงหน้านะคะ คนเยอะอยู่ g90g91g92จากร้าน Haxbuer ถ้าเดินมาตามถนน Sparkassenstraße ก็จะเจอกับ Viktualien Marktg82g84g85g86บรรยากาศยามค่ำคืนg89g88g87โรงแรมที่พักคืนนี้ Dolce Hotels and Resorts อยู่ออกมานอกเมืองหน่อย แต่โรงแรมใหม่และทันสมัยมาก แต่ห้องน้ำอาจจะวาบหวิวซะหน่อย เพราะทางเข้าโซนอ่างล้างหน้าและห้องน้ำไม่มีประตูปิด แถมกระจกห้องน้ำก็ใสปิ๊งมากกกกกก b31b32b33
วันที่สี่ของการเดินทาง : เช้านี้เราจะแวะไปที่พระราชวังนิมเฟนบวร์ก (Nymphenburg Palace) ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของมิวนิค เป็นพระราชวังฤดูร้อนแบบบารอคที่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1664 โดยพระเจ้าอีเล็กเตอร์แฟร์ดินานห์ มารีอา (Ferdinand Maria) เพื่อแสดงความขอบคุณเนื่องในวันประสูติพระโอรสแมกซิมิเลี่ยนที่ 2 เอมานูแอล (Maximillian II Emanuel) หรือพระเจ้าลุดวิกที่ 2b34b40b37มุมด้านหลังและสวนสวย ๆ b35b36ที่นี่เราไม่ได้เข้าชมด้านในนะคะ เพราะช่วงบ่ายมีโปรแกรมเข้าชมปราสาทนอยชวานสไตน์อยู่แล้ว ก็เลยเดินเล่น ถ่ายรูปกันอยู่ด้านนอกg94g93b39หลังจากนั้นเราก็นั่งรถต่อไปยังเมืองโฮเฮนชวานเกา (Hohenschwangau) ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ชั่วโมงกว่า ๆ ก็มาถึงที่ตั้งปราสาทในฝันของใครหลาย ๆ คน นั่นคือปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein Castle) รายละเอียดต่าง ๆ การซื้อตั๋วเข้าชม เวลาเปิด-ปิด ประวัติต่าง ๆ สนใจดูได้ที่ –> https://www.neuschwanstein.de/englisch/tourist/admiss.htmg95ปราสาทตั้งอยู่ด้านบน ดังนั้นมี 3 วิธีมาให้เลือกกันค่ะว่าจะขึ้นไปยังไงกันดี : 

1. แรงมาก : ถ้าใครแรงมากหน่อยก็สามารถเดินขึ้นเนินไปเรื่อย ๆ ได้ ทางเดียวกับที่รถม้าขึ้น (เส้นสีแดงตามรูปด้านล่าง) ใช้เวลาเดินราว ๆ  30-45 นาที แล้วแต่สปีดใครสปีดแรงสปีดเบาเลยค่ะ  ขึ้นไปด้านบนแล้ว ทางนี้จะใกล้กับทางเข้าชมปราสาท อาจจะเลือกเข้าชมปราสาทก่อนแล้วค่อยเดินไปชมวิวบนสะพานทีหลัง 

2. ออมแรง : ถ้าใครอยากออมแรงไว้ก่อนก็สามารถขึ้นรถ shuttle bus ค่าบริการขาไปคนละ 2.50 ยูโร จุดที่ยืนรอรถก็จะเห็นแถวยาว ๆ ใกล้ ๆ ลานจอดรถ สามารถชำระค่ารถได้ที่คนขับเลยค่ะ รอบนึงก็ไปได้หลายคนอยู่ เหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวา ไม่เกิน 10 นาทีก็ถึงด้านบน จุดลงรถจะอยู่ใกล้กับสะพาน Marienbrücke ที่เป็นจุดชมวิว ถ้าใครอยากไปชมวิวบนสะพานนี้ก่อน ขึ้นรถบัสไปดีกว่าค่ะ แล้วค่อยเดินไปทางปราสาท ใช้เวลาอีกประมาณ 15-20 นาที 

3. เซฟแรง : อีกทางเลือกก็คือรถม้า จอดอยู่ตรงหน้าโรงแรม Muller แต่ราคาแอบแพงกว่าหลายและคิวก็ยาวตลอด ขาขึ้น 6 ยูโร ขาลง 3 ยูโร ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ถ้านั่งรถม้าขึ้นไปก็เดินต่อไปยังทางเข้าหน้าปราสาทอีกไม่ไกลค่ะ   

**ส่วนขาลง : ถ้าอยู่ใกล้กับปราสาทก็สามารถเดินลงหรือนั่งลงม้า แต่ถ้าอยู่ใกล้กับสะพาน Marienbrücke ก็นั่งรถ shuttle bus ลงค่ะ

ส่วนเราไปด้วยรถ shuttle bus  เพราะยังมีเวลาเหลือกว่าจะถึงรอบเข้าชมด้านในปราสาทและลงด้วยรถม้าค่ะ ได้ 2 บรรยากาศnu1

b60
ลงจากรถบัสแล้ว เดินไปทางด้านขวาจะเป็นสะพาน Marienbrücke (Mary’s Bridge) ที่ทอดข้ามหน้าผาสูง 90 เมตร มีน้ำตกสูง 45 เมตรไหลผ่านด้านล่าง นักท่องเที่ยวต้องมาถ่ายรูปกันที่จุดนี้เพราะเป็นจุดที่ถ่ายรูปปราสาทนี้ได้ครอบคลุมที่สุด แต่ๆๆๆ ยากตรงที่สะพานแคบ ๆ กับนักท่องเที่ยวเยอะมาก ๆ ใจร่ม ๆ รอคิวว่าง ๆ รัวชัตเตอร์ ๆๆๆ อย่างรวดเร็วค่ะ ^^g99g98หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้วก็เดินเท้าต่อไปยังปราสาทอีกประมาณ 3 หอบเล็ก ๆ เพราะทางเดินเป็นทางขึ้นเขาเล็ก ๆ โค้งไปโค้งมา และระหว่างทางก็จะเจอวิวแบบนี้รออยู่ตรงหน้า ปราสาทเหลืองจิ๋ว ๆ กลางรูปคือปราสาทพ่อหรือปราสาท Hohenschwangau ที่พระเจ้าลุดวิกที่ 2 เคยมาวิ่งเล่นตอนยังเป็นเด็ก b48h02h03ปราสาทนี้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 ในช่วงปี คศ 1845-1886 ตามพระประสงค์ให้จัดสร้างขึ้นตามจินตนาการจากอุปรากรเพลงของคีตกวีร่วมสมัย ริชาร์ด วากเนอร์ เรียกได้ว่าเป็นปราสาทต้นแบบของการสร้างปราสาทแห่งเทพนิยายของสวนสนุกดิสนียแลนด์ทั่วโลก ตั้งอยู่บนยอดเขาเหนือทะเลสาบ Alpseeh04h05ในสมัยนั้นเยอรมันยังไม่ได้รวมกันเป็นประเทศอย่างปัจจุบัน แคว้นเล็ก ๆ ก็ปกครองกันเอง มีกษัตริย์เป็นของตนเอง พระเจ้าลุดวิกที่ 2 ได้ครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุเพียง 18 พรรษา เป็นกษัตริย์ติสท์ อารมณ์ศิลปิน สนใจเรื่องศิลปะ วรรณกรรมมากกว่าการปกครองบ้านเมือง ทรงนิยมสร้างปราสาท หลงใหลพวกตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับเทพและไวกิ้งและโปรดนักกวี ริชาร์ด วาร์กเนอร์ (Richard Wagner)b45พระเจ้าลุดวิกที่ 2 มีพระประสงค์ให้สร้างปราสาทแห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับอย่างสันโดษ ห่างจากผู้คนและเพื่ออุทิศให้แก่กวี ริชาร์ด วากเนอร์ ผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างให้เป็นไปตามบทประพันธ์เรื่อง อัศวินหงษ์ (Swan Knight Lohengrin) ดังนั้นปราสาทแห่งนี้จึงได้รับการตกแต่งตามเรื่องร่าวในบทประพันธ์ดังกล่าว ปราสาทแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดย คริสเตียน แยงค์ (Christian Jank) ซึ่งเป็นนักออกแบบทางการละครมากกว่าที่จะเป็นสถาปนิก ทุกวันนี้มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยี่ยมชมปราสาทแห่งนี้ถึงปีละ 1.6 ล้านคน ถ้าเป็นช่วงฤดูร้อนอาจมีคนเข้าชมถึง 6,000 คนต่อวัน และด้วยความที่พระองค์มีหัวก้าวหน้า ปราสาทแห่งนี้จึงพรั่งพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สุดในนั้น อย่างระบบไฟฟ้า ระบบประปา โทรศัพท์หรืออย่างระบบน้ำร้อนน้ำเย็นg97หลังจากถึงประตูทางเข้าหลักแล้วก็รอดูเบอร์ตั๋วเราตรงป้ายไฟ เมื่อถึงเบอร์เราแล้วก็ไปยืนรอ เจ้าหน้าที่จะได้พาเข้าไป เนื่องจากมีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมากถ้าไม่จัดแบบนี้ข้างในท่าจะชุลมุนไม่น้อย ก่อนเข้าชมก็ต้องเอกซเรย์กระเป๋าเพื่อความปลอดภัยอีกครั้งb51การสร้างปราสาทในยุคนั้นเมื่อกว่า 150 ปีที่แล้วไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวก วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ล้วนมีน้ำหนักและปริมาณมากมายมหาศาล ถูกลำเลียงไปยังเนินเขาที่ใช้ก่อสร้างปราสาท นึกแล้วคนสมัยก่อนเก่งมากกกกกจริง ๆ  หินอ่อน 465 ตัน หินทราย 4,550 ตัน อิฐ 400,000ก้อน ทราย3,600 ลูกบาศก์เมตร ซีเมนต์ 600 ตัน และสิ่งสำคัญคือการใช้ไม้เพื่อแกะสลักทั้งสิ้น 2,050 ลูกบาศก์เมตร และใช้กำลังสติปัญญาแรงงานจากช่างผู้ชำนาญและ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมากมาย โดยใช้เวลาทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 17 ปี
b50
แต่ตอนจบไม่ได้ happy ending เหมือนในนิยาย บั้นปลายพระชนม์ชีพของพระองค์ผู้ทรงเนรมิตปราสาทงดงามแห่งนี้ จะมีจุดจบที่น่าเศร้า เมื่อตอนที่เริ่มต้นก่อสร้างปราสาทนี้ กษัตริย์ลุกวิกที่ 2 ทรงมีพระชนมายุเพียง 23 พรรษา แต่ในวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1886 เป็นวันสุดท้ายที่กษัตริย์ลุกวิก ประทับที่ปราสาทนี้ เนื่องด้วยฝ่ายคณะรัฐบาลในขณะนั้น ได้ประกาศว่า พระองค์วิกลจริตไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ จึงได้ปลดออกจากราชบัลลังก์ และถูกจับกุมให้เสด็จไปประทับ ณ ปราสาทแบร์ก (Berg) ริมทะเลสาบสตานแบร์ก (Starnbergersee)
ต่อมาเมื่อ วันที่ 13 มิถุนายน 1886 ได้มีผู้พบพระศพของพระองค์และแพทย์หลวงส่วนพระองค์อยู่ในทะเลสาบสตานแบร์ก (ซึ่งเป็นการสวรรคตที่เป็นปริศนามาจนทุกวันนี้) ซึ่งครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงโปรดที่จะเสด็จทอดพระเนตรหงส์ขาวในทะเลสาบแห่งนี้เป็นอย่างมาก และด้วยความที่ทรงโปรดความสง่างามของหงส์ขาว   ชื่อ”นอยชวานชไตน์” จึงถูกเรียกหลังจากที่ พระเจ้าลุดวิกที่ 2 ได้เสด็จสวรรคตแล้ว ในปี 1886 b49
เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต ปราสาทแห่งนี้ได้ถูกสร้างไปเพียง 1 ใน 3ของแผนที่วางไว้ และพระเจ้าลุดวิกที่ 2 เองก็เสด็จมาประทับที่ปราสาทแห่งนี้เพียง 170 วันเท่านั้น หลังจากสวรรคต เชื้อสายของพระองค์ได้เปิดให้ประชาชนได้ชื่นชมภายในบางส่วน โดยเก็บค่าเข้าชมเป็นค่าทะนุบำรุงซ่อมแซม และทำรายได้มหาศาลให้กับรัฐบาลเยอรมันในภายหลัง ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อนของยุโรปนักท่องเที่ยวจะแน่นขนัด มีทั้งคนเยอรมันเองและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่ต้องการมาชมปราสาทในเทพนิยายแห่งนี้ และชื่อปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein Castle) ก็เพิ่งมาเรียกกันหลังจากที่พระองค์สวรรคตแล้ว
Neu = New แปลว่าใหม่ / Schwan = Swan แปลว่าหงส์ / Stein = Stone หิน รวมกันแปลว่าปราสาทหินหงส์ใหม่ อย่าออกเสียงผิดนะคะ ถ้าออกเสียง Schwan (ชวาน) เป็น Schwein (ชไวน์) ที่แปลว่าหมู ก็จะกลายเป็นปราสาทหินหมูใหม่ทันทีb58 พระเจ้าลุดวิกที่ 2 ทรงสร้างปราสาทไว้ทั้งหมด 3 แห่ง จริง ๆ ตั้งใจสร้างแห่งที่ 4 ด้วย แต่ยังไม่ทันสร้างก็สวรรคตซะก่อน พระองค์โปรดปรานที่จะใช้เวลาเพลิดเพลินไปกับดนตรีและศิลปะอยู่ในปราสาทเหล่านี้มากกว่าจะไปอยู่ในพระราชวังในเมืองหลวงบริหารรัฐกิจ ปราสาทแต่ละแห่งอลังการงานสร้างมาก ๆ ใช้เงินมากมายมหาศาล แต่พระองค์ก็ไม่เคยเอาเงินแผ่นดินมาสร้างปราสาท ทั้งหมดเป็นเงินส่วนพระองค์ ถึงแม้จะต้องกู้หนี้ยืมสินจนเป็นหนี้มหาศาลก็ตาม พวกขุนนางใช้จุดนี้เป็นข้ออ้างอีกเรื่องในการปลดพระองค์ว่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย แต่เรื่องตลกกลับกลายเป็นว่าเมื่อเวลาผ่านไป ปราสาทนอยชวานสไตน์เป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญอันดับหนึ่งของเยอรมนี และทำรายได้ให้ประเทศเป็นเงินมหาศาลb57
เชื่อว่าพระเจ้าลุดวิคที่ 2 ไม่เคยเหงาหรอกค่ะ  ปราสาทแห่งนี้มีอายุราว 150 ปีแล้ว มีแต่นักท่องเที่ยวทุกชาติ ทุกวัยแวะมาเยี่ยมเยือนปราสาทแห่งนี้ตลอดเวลา
พระเจ้าลุควิกเคยทรงพระอักษรถึงวากเนอร์ว่า “เมื่อเราทั้งสองตายไปแล้วนานแสนนาน ผลงานของเราจะเป็นตัวอย่างอันเรืองโรจน์ ชั่วลูกชั่วหลาน” ความงามไม่เสื่อมคลายของปราสาทนอยชวานชไตน์เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคำทำนายของพระองค์ว่าเป็นความจริงb59การเข้าชมภายในปราสาทต้องซื้อทัวร์เพื่อเข้าชมเท่านั้น โดยมีไกด์พาเดินชมเป็นเวลาประมาณ 35 นาที และเปิดให้เข้าชมทั้งหมด 14 ห้อง ห้องส่วนใหญ่จะประดับประดาด้วยภาพวาดเกี่ยวกับตำนานและนิทานพื้นบ้าน โดยเฉพาะเรื่องที่มาจากอุปรากรของวากเนอร์ เช่น Tannhäuser, Lohengrin, Tristan and Isolde, Parsifal เช่น ห้อง Throne Hall หรือห้องราชบังลังก์ ดูยิ่งใหญ่อลังการ สีเหลืองทองอร่ามในศิลปะแบบไบแซนไทน์ แต่ห้องนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์เพราะขาดสิ่งสำคัญที่สุดของห้องก็คือบัลลังก์ โคมระย้าที่ตั้งอยู่กลางห้องมีน้ำหนักถึง 900 กิโลกรัม สามารถชักรอกลงมาได้เพื่อทำความสะอาดหรือเปลี่ยนเทียนเล่มใหม่h06ห้องบรรทมของพระเจ้าลุดวิก ได้สร้างขึ้นในศิลปะแบบโกธิก มีงานแกะสลักไม้อย่างวิจิตรบรรจง ภาพวาดในห้องนี้มาจากอุปรากรเรื่อง Tristan and Isolde ของวากเนอร์ ข้างๆพระเก้าอี้สีน้ำเงินเป็นโต๊ะสำหรับล้างพระพักตร์ ใช้เทคโนโลยีน้ำประปายุคปัจจุบันให้น้ำไหลผ่านคอหงส์เงิน
ห้องชั้นบนสุดของปราสาท เรียกว่า Singers Hall เป็นห้องที่ใช้สำหรับจัดแสดงอุปรากรของวากเนอร์โดยเฉพาะ มีการออกแบบระบบอคูสติกของห้องเป็นอย่างดี และแน่นอน ภาพวาดที่ประดับห้องนี้มาจากอุปรากรเรื่อง Parsifal ของวากเนอร์ กษัตริย์ลุดวิกไม่มีโอกาสได้ทอดพระเนตรการแสดงในห้องนี้ขณะที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่b55ปราสาทสีเหลืองหลังเล็กชื่อว่าปราสาทโฮเฮนชวานเกา (Hohenschwangau) เป็นของพระเจ้าแม็กซิมิเลียนที่ 2(Maximilian II) พระบิดาของพระเจ้าลุดวิก พระองค์โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นพระราชวังฤดูร้อน ในช่วงวัยเยาว์พระเจ้าลุดวิกที่ 2 ทรงประทับอยู่ที่ปราสาทนี้อย่างมีความสุข และเป็นแรงบันดาลใจที่อยากสร้างปราสาทของพระองค์เองขึ้นบ้าง พูดง่าย ๆ คือโฮนชวานเกาคือปราสาทของผู้พ่อ ส่วนนอยชวานสไตน์คือปราสาทของลูก
h10h07h09โฮเฮนชวานเกา(Hohenschwangau)  hohen = high แปลว่าสูง schwan = swan แปลว่าหงส์ gau = county or region แปลว่าดินแดนหรือเขตแดน Hohenschwangau Castle จึงแปลว่า Castle of the High Swan County หรือปราสาทแห่งดินแดนหงส์ที่อยู่สูงนั่นเองh08h11เดินลงมาข้างล่างแล้ว เดินไปทะเลสาบกันค่ะ เจอใบไม้เปลี่ยนสีเหมือนมีพลังดูดเราเข้าไปอย่างรวดเร็วh13h12ทะเลสาบ Alps (Alpsee)h17h18b64h19เที่ยวชมปราสาทกันเรียบร้อย คืนนี้เราจะไปพักกันที่เมืองฟึสเซ่น  (Füssen) อยู่ห่างออกไปแค่เพียง 5 กม. ไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้วค่ะb69เมืองนี้เดินง่ายมากมีถนนคนเดินเส้นเดียว เดินตรงเข้าไปจะเจอจัตุรัสที่มีน้ำพุอยู่กลางเมือง สองข้างทางก็เป็นร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรมเล็ก ๆb67b68เมืองฟึสเซ่น (Füssen) เป็นเมืองที่มีความสำคัญมากว่า 2,000 ปี เป็นเส้นทางเก่าแก่ทั้งสำหรับกองทหาร คาราวานค้าขาย จักรพรรดิ์และกษัตริย์ทั้งหลายรู้จักโดย Claudia Augusta ปัจจุบันเส้นทางนี้ก็ยังเป็นเส้นทางข้ามแอลป์ยอดนิยม นอกเหนือจากนั้นช่างทำไวโอลินและ Lute (เครื่องดีดคล้ายน้ำเต้า) เคยทำให้เมืองนี้โด่งดังไปทั่วยุโรปในปี ค.ศ.1560 และสมาคมผู้ผลิต Lute แห่งแรกในยุโรปก็ได้ก่อตั้งขึ้นที่เมืองนี้b65เดินขึ้นเนินไปจะเจอกับ High Palace ที่เคยเป็นที่พำนักของ Lord Bishops of Augsburg ถือว่าเป็นหนึ่งในปราสาทคอมเพล็ซ์ที่ใหญ่และยังสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในเขตสวาเบีย ด้านล่างเป็นอารามเบเนดิกต์ของ St.Mang สร้างขึ้นในสไตล์บารอคอันสวยงาม ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ด้านในเข้าชมได้ค่ะ h25h26h27h28เดินออกมาแล้วจะไปชมแม่น้ำด้านหลัง ผ่านศาลาว่าการเมืองฟึสเซ่น (Rathaus Füssen) h24Church of the Holy Spirit (Heilig-Geist-Spitalkirche) โบสถ์พระวิญญาณบริสุทธิ์h22สะพานข้ามแม่น้ำ Lechh20h21เย็นนี้ทานกันที่ร้าน Gasthof Krone ร้านดังอีกร้านของเมืองb66
จัดเต็มด้วยซี่โครงหมูและไส้กรอก อาหารขึ้นชื่อของเยอรมัน ต้องบอกว่าอาหารเยอะมากกก บริการก็ดีมากด้วยอิ่มหนำสำราญพร้อมพุงป่อง ๆ อีกแล้วf227ซุปในขนมปัง อย่าจ้องนาน เดียวละลายf228
คืนนี้พักกันที่ Alstadt Zum Hecten เป็นโรงแรมที่บริหารกันเองภายในครอบครัว ให้ความรู้สึกเหมือนมาพักอาศัยกับญาติผู้ใหญ่ยังไงอย่างนั้น พนักงานป็นรุ่นคุณป้า คุณยาย แต่ทุกคนก็น่ารัก โรงแรมก็น่ารักหมดทุกสิ่งยกเว้นอย่างเดียว ไม่มีลิฟท์ แงๆๆๆ ยกกระเป๋ากันเหนื่อยทีเดียว รูปห้องไม่มีอีกแล้ว มีรูปห้องอาหารเช้ารูปเดียวนี่แหละค่ะ
f225

รีวิวตอนต่อไป –> ยอดเขาซุกสปิตเซ่ เมืองอินส์บูร์ก พิพิธภัณฑ์สวารอฟสกี้และสตูไบแอลป์ :

รีวิวเที่ยวยุโรปตะวันออก ตอนที่ 3 : ยอดเขาซุกสปิตเซ่ เมืองอินส์บูร์ก พิพิธภัณฑ์สวารอฟสกี้และสตูไบแอลป์

 

รีวิวตอนที่แล้ว : ตอนที่ 1 เมืองซาร์ลสบวร์ก, ล่องเรือทะเลสาบโคนิก (Königssee), เหมืองเกลือ Saltmine, เมืองแบรก์เทสการ์เทน  

รีวิวเที่ยวยุโรปตะวันออก ตอนที่ 1 : ออสเตรีย บาวาเรีย เชค

 

Leave a comment