รีวิวเที่ยวยุโรปตะวันออก ตอนที่ 3 : ยอดเขาซุกสปิตเซ่, เมืองอินส์บูร์ก, พิพิธภัณฑ์สวารอฟสกี้และสตูไบแอลป์

วันที่หกของการเดินทาง : วันนี้เราจะไปพิชิตยอดเขาซุกสปิตเซ่กัน (Zugspitze) ตั้งอยู่ที่เมือง Garmisch-Partenkirchen เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเยอรมนีด้วยความสูง 2,962 เมตร ยอดเขาซุกสปิตเซ่ (Zugspitze) ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์ ในวันที่อากาศดีสามารถเห็นยอดเขาต่าง ๆ กว่า 400 ยอดในเทือกเขาแอลป์ได้ชัดเจน  เห็นวิวได้ถึง 4 ประเทศคือ ออสเตรีย สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลีและเยอรมนี ถือว่าเป็นศูนย์กลางอันดับหนึ่งของการเล่นกีฬาฤดูหนาวของเยอรมัน โดยเฉพาะการเล่นสกี รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ –> https://zugspitze.de/en/Zugspitze
zugเราจะเริ่มจากจุดล่างสุดของแผนที่คือ Garmisch-Partenkirchen Bahnhof DB เพื่อนั่งรถไฟ cogwheel train ไปยังสถานี Zugspitzplatt สูงที่ระดับ 2600 เมตร ใช้เวลาเดินทาง 75 นาที โดยรถไฟจะออกทุกชั่วโมง เมื่อซื้อบัตรเสร็จเรียบร้อยแล้วจะได้เป็นบัตรแข็งมา เก็บดี ๆ นะคะเพราะต้องใช้ตอนขาลงด้วย ผ่านเครื่องตึ๊ดบัตรแล้วก็มารอบริเวณนี้เพื่อขึ้นรถไฟ cogwheel ยากหน่อยตรงที่ไม่มีการจองที่นั่งล่วงหน้า ดังนั้น….รถไฟมาปุ๊ปก็ต้องแย่งชิงกันหน่อย ใครขึ้นก่อนเลือกที่นั่งก่อนค่ะ แนะนำให้นั่งทางด้านขวามือ นั่งไปเรื่อย ๆ จะได้เห็นทะเลสาบสวย ๆ ถ้าไม่หลับซะก่อนค่ะ b70ภายในรถไฟ
b71นั่งไปเรื่อย ๆ จะมีจุดจอดให้เราลงไปถ่ายรูปได้ มองไปก็จะเห็นทะเลสาบ Eibsee b72
Eibsee ทะเลสาบสวย ๆ ท่ามกลางหุบเขา
b84
มาถึงสถานี Zugspitzplatt แล้ว ที่ระดับความสูง 2,600 เมตร เดินออกมาก็จะเจอลานหิมะกว้าง ๆ ถ้าฟ้าใส ๆ ก็จะมองเห็นเขารายล้อมไปสุดลูกหูลูกตา ยิ่งถ้าช่วงหิมะหนาฟู นักสกีรุ่นใหญ่ รุ่นเล็กเต็มไปหมด เพราะที่นี่ถือว่าเป็นแหล่งเล่นสกียอดนิยมค่ะb89รูปเซตนี้ของซุกสปิตเซ่ (Zugspitze) ถ้าเป็นหิมะท่วม ๆ จะเป็นช่วงเมษายน-พฤษภาคม ส่วนถ้าเป็นช่วงกันยายน-ตุลาคม ฤดูใบไม้ร่วง หิมะยังมีอยู่แต่ไม่มากค่ะh32
b76b77บริเวณนี้มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกb75b73
โบสถ์เล็ก ๆ b79
จากจุดนี้เราต่อกระเช้า Gletscherbahn ไปยังจุดสูงสุด Zugspitze ที่ระดับความสูง 2,962 เมตรb88ออกจากกระเช้าแล้วมองลงไปด้านล่าง เล็กจิ๊ดเดียวh34ทางเข้า/ออก ทางเดียวกันมีป้ายบอกชัดเจน สำหรับคนที่ต้องการนั่ง Cogwheel Train ลงไปด้านล่าง แต่เราขึ้นไปด้านบนกันเลยค่ะ สามารถขึ้นลิฟท์หรือจะเดินบันไดขึ้นไปก็ได้ จุดเด่นบนยอดเขานี้คือไม้กางเขน Summit Cross ที่ปักอยู่ด้านบน เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงจุดที่สูงที่สุด ถูกปักไว้กว่า 150 ปีก่อนมาแล้ว แม้จะเสียหายจากฟ้าผ่าหลายครั้งแต่ชาวเมืองก็คอยซ่อมแซม ล่าสุดถูกทำลายด้วยทหารอเมริกันในช่วงสิ้นสุดสงครามโลก จนพังไม่สามารถซ่อมได้อีก ก็เลยสร้างอันใหม่ขึ้นมาแทนค่ะ สำหรับการเดินขึ้นไปเป็นคล้าย ๆ บันไดลิง ขึ้นลงได้เลนเดียวต้องผลัดกันขึ้นลง ดู ๆ แล้วน่าหวาดเสียวอยู่ เลยขอชมแบบห่าง ๆ ดีกว่าb80วิวรอบ ๆ b82b86b90ด้านบนมีร้านอาหารและมีจุดที่เชื่อมต่อกับฝั่งออสเตรียด้วยค่ะ  b85มองไปด้านล่างเห็นทะเลสาบ Eibseeb83b87h31h29h30ด้านบนนอกจากเป็นเขตฝั่งเยอรมนีแล้วยังมีเขตที่เป็นฝั่งของออสเตรียด้วยค่ะ

h37ขากลับเราก็นั่งกระเช้า Eibsee-seilbahn ลงมาที่ Eibsee 1,000 เมตร คนขับรถรออยู่ที่นี่ค่ะ หรือถ้าใครอยากจะเริ่มที่จุดนี้ก่อนก็ได้ ก็จะเป็นขึ้นกระเช้าไปด้านบนสุดแล้วขาลงค่อยนั่ง Cogwheel train หรือจะนั่งกระเช้าขึ้น-ลงก็ได้ หรือ Cogwheel train ขึ้น-ลงก็ได้ แล้วแต่สะดวกเลยค่ะh36h33c23b91ช่วงบ่ายเราเดินทางข้ามพรมแดนไปยังเมืองอินสบูร์ก (Innsbruck) ประเทศออสเตรีย  Inns เป็นชื่อแม่น้ำ Bruck แปลว่าสะพาน รวมกันแปลว่าสะพานข้ามแม่น้ำอินน์ เมืองหลวงของแคว้นทิโรล เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญอยู่ทางด้านตะวันตกของประเทศ จึงเป็นเหมือนเมืองที่เชื่อมต่อกับยุโรปฝั่งตะวันออกและตะวันตก ห่างจากสวิสเซอร์แลนด์เพียงแค่มีรัฐ Voralberg กั้นไว้ ห่างจากชายแดนอิตาลีแค่ขับรถ 1 ชม. เมืองนี้ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาแอลป์ และมีแม่น้ำอินน์ไหลผ่าน จึงเรียกพื้นที่ราบในเมืองนี้ว่า หุบเขาแม่น้ำอินน์ (The Inn Valley) แม่น้ำนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ด้านตะวันออกเฉียงใต้ แถว ๆ เมือง St.Moritz ไหลเรื่อยมาจนเมืองอินส์บรูค แต่ที่สวิสเรียกว่าแม่น้ำเอนb92
มาถึงเมืองอินส์บรูค (Innsbruck) กันแล้ว ไปเช็คอินกันก่อนค่ะ คืนนี้เราพักที่ Hotel Innsbruck Innsbruck ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ตรงข้ามกับบ้านสี ๆ ริมแม่น้ำอินน์h38ออกจากโรงแรมเดินไปไม่ถึง 5 นาที ไปชมไฮไลท์สำคัญของเมืองนี้…นั่นคือหลังคาทองคำ มองไปเห็นแต่ไกล..คือออออ อันนี้ใช่มั้ย บอกเลยว่า…ใช่ค่ะ  ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ปกติคนหนาแน่นมากกกก ถ่ายยังไงก็ติดคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง ถ้าอยากได้รูปแบบไม่มีนักท่องเที่ยว ตื่นแล้วมาเลยค่ะ รูปนี้ถ่ายตอน 7 โมงเช้า b98อดีตเป็นทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้นของพระเจ้าเฟเดอริกที่ 3 สาเหตุที่ได้ชื่อว่าหลังคาทองคำเพราะมีหลังคาเหนือส่วนที่เป็นระเบียงที่ยื่นออกมาจากตัวตึกดูเหมือนทองคำ จริง ๆ แล้วทำด้วยแผ่นทองแดงแล้วปิดด้วยแผ่นทองบาง ๆ สร้างโดยพระเจ้าแมกซิมิเลียนที่ 1 ซึ่งเป็นพระโอรสของพระองค์c1h39บริเวณหลังคาทองคำ มีร้านค้า ร้านคาเฟ่มากมายให้นั่งชิลกันเพลิน ๆ หรือถ้าใครอยากได้วิวมุมสูงสามารถซื้อตั๋วขึ้นไปชมวิวได้ที่  Old Town Hall เสียตังค์แล้วปีนป่ายบันไดขึ้นไปชมวิวกันค่ะC20h42c14b99c13ส่วนใครสนใจสวาลอฟสกี้ (Swarovski) แนะนำร้านหัวมุมเลยค่ะ ร้านใหญ่ ของมากมาย ด้านในตกแต่งสวยงาม มีห้องโชว์เล็ก ๆ โชว์ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ประดับด้วยคริสตัล c8ถ้าหันหน้าออกจากหลังคาทองคำ ข้ามถนนไปเป็นถนน Maria-Theresien-Strasse ถนนหลักของเมืงอินส์บรูค ถือว่าเป็นหนึ่งในถนนที่สวยที่สุดในโลก บริเวณแถบนี้ก็จะเต็มไปร้านค้าช้อปปิ้งมากมายและผู้คนก็มากมายเช่นกันc11c10เสา Annasaule (St.Anne’Column) เป็นเสาอนุสรณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกที่ชาวทิโรลสามารถรบชนะพวกบาวาเรียได้ในสงครามสแปนิช ในปี 1703 บนยอดเป็นรูปปั้นพระแม่แอนนาศักดิ์สิทธิ์ เสมือนเป็นเทพคุ้มครองโบสถ์และแคว้น นักบุญที่ยืนเหยียบมังกรคือ St.George นับว่าเป็นสัญลักษณ์และเป็นสูญรวมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของแคว้นทิโรลh40เดินตรงไปเรื่อย ๆ จะเจอกับประตูเมืองเก่าแก่ Triumphpforte สร้างโดยคำสั่งของจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซ่า ในวาระที่เฉลิมฉลองการแต่งงานของพระโอรสซึ่งดำรงตำแหน่งรัชทายาทในขณะนั้นคือ ลีโอโพลด์กับเจ้าหญิงสเปน Maria Ludovia ในปี 1765 ทำออกมาเป็นประตูชัยโรมัน แต่เรื่องน่าเศร้าคือวันรุ่งขึ้นหลังจากการเฉลิมฉลองงานแต่งงาน สามีของพระองค์สวรรคตกระทันหัน จากงานรื่นเริงก็เป็นความเศร้าโศก พระนางจึงสั่งให้ปรับทางด้านเหนือของประตูชัย โดยมีรูปของพระสวามี ฟรานซิส สตีเฟ่นอยู่ทางด้านตะวันออก และมีรูปปั้นของพระนางมาเรีย เทเรซ่าทางด้านตะวันตก ใบหน้ารูปปั้นที่อยู่เหนือประตูเป็นหน้าเศร้า แสดงความไว้อาลัย ส่วนทางใต้เป็นรูปพระโอรสและคู่หมั้น รูปปั้นที่อยู่เหนือประตูเป็นหน้ามีความสุขc9
ไปกันต่อค่ะ เข้าชม Hofkirche โบสถ์หลวงของเมืองอินส์บรูค ที่นี่เสียค่าเข้าชมด้วยนะคะ สร้างเมื่อปี 1553 ตามคำบัญชาของจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 1 เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่จักรพรรดิ์แมกซิมิเลี่ยน ผู้สร้างหลังคาทองคำ ผู้เป็นปู่ของท่าน มีโลงหินอ่อนที่วางอยู่ตรงกลางห้อง แต่ไม่มีพระศพ มีรูปจักรพรรดิ์นั่งคุกเข่าอยู่ด้านบน สองฟากเรียงรายด้วยรูปแกะสลักบรรพบุรุษของราชวงศ์ฮัปสบวร์ก รูปหล่อสำริดขนาดใหญ่กว่าตัวจริงเล็กน้อยจำนวน 28 ตัว เรียงรายเป็นแถว เรียกว่า Black Man หรือ Schwarzen Mandernc19c16c17h41เดินกันต่อค่ะ ไปชมอีก 1 ไฮไลท์ของเมืองนี้ บ้านสี ๆ ริมแม่น้ำอินน์ ช่วงที่ถ่ายสวยคือตอนพระอาทิตย์กำลังจะขึ้นและตอนพระอาทิตย์ใกล้ตก จะได้แสงสาดไปที่ตึก ตัวตึกจริง ๆ ก็ซีดเซียวไปบ้างแล้ว รูปนี้เลยขอเพิ่มแสง สี เสียงมานิดค่ะ c2h44c22c3h43ถ้าใครยังมีเวลาที่เมืองนี้ สามารถขึ้นไปชมวิวบนเขาที่เมืองอินส์บรูคโดยขึ้นกระเช้า Nordkettenbahnen ได้ค่ะ แต่เราไม่ได้ขึ้นเพราะทริปนี้ขึ้นกันหลายเขาแล้วh45วันที่เจ็ดของการเดินทาง : เช้านี้จะไปชมพิพิธภัณฑ์สวารอฟสกี้ (Swarovski Crystal Worlds Museum) ที่เมืองวัทเทน (Watten) ใช้เวลาเดินทางจากอินสบูร์กแค่ 20 นาทีค่ะc24
ก่อตั้งโดย Daniel Swarovski เป็นชาวโบฮีเมียนโดยกำเนิด พร้อมด้วยภรรยาและลูกชาย 3 คน อพยพจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ในหุบเขาเข้ามาที่เมืองวัทเทน (Watten) เมื่อปี ค.ศ. 1895 ขณะนั้นเขาอายุ 34 ปี พ่อของแดเนียลเป็นเจ้าของร้านเจียระไนแก้วเล็ก ๆในโบฮีเมีย เป็นงานฝีมือที่ตกทอดมาหลายชั่วคนและก็เป็นธรรมเนียมของลูกชายที่ต้องเรียนรู้และสืบทอดตามบรรพบุรุษ แดเนียลเป็นพนักงานฝึกหัดในร้านพ่ออยู่ 2 ปี หลังจากนั้นก็ไปเป็นลูกจ้างในโรงงานเจียระไนแก้วของคนอื่นอีกหลายปี ทำให้มีประสบการณ์มากขึ้นc25
ในปี ค.ศ. 1883 ขณะอายุได้ 21 ปี แดเนียลได้ไปชมงาน แสดงเครื่องไฟฟ้าที่กรุงเวียนนา และนี่เองก็เป็นจุดหักเหชีวิตของเขา งานแสดงดังกล่าวได้โชว์สิ่งประดิษฐ์ที่แสดงความก้าวหน้า ด้วยความที่เป็นคนหัวคิดก้าวไกล ทำให้แดเนียลรู้ทันทีว่านี่คือสุดทางของงานที่พ่อเขาได้ทำมาตลอดชีวิต หลังจากนั้น 9 ปี เขาได้ขอจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของเขา ซึ่งเป็นเครื่องจักรเจียระไนแก้วคริสตัลและหินต่าง ๆ และเครื่องมือท่าสามารถทำงานด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่มีมา ซึ่งจะทำให้ธุรกิจเขาล้ำหน้าไปไกลกว่าคนอื่น
c27ส่วนสาเหตุที่ทำไมถึงย้ายโรงงานไปที่เมืองวัทเทน (Watten) เพราะว่าถ้าเกิดเปิดโรงงานในโบฮีเมีย เพียงเวลาไม่นานก็จะมีคนลอกเลียนแบบเครื่องจักรของเขาออกมา และที่สำคัญเมืองวัทเทน (Watten) มีพลังงานไฟฟ้าจากพลังน้ำ ซึ่งที่บ้านเก่าเขาไม่มี ทำเลที่นี่ตอนนั้นถือว่าดีเพราะเพิ่งมีการขุดอุโมงค์ทะลุภูเขามีความยาว 10 กม. ชื่อ Arlburg ซึ่งสามารถเชื่อมระหว่างออสเตรียกับยุโรปตะวันตกได้ นั่นหมายความว่าสินค้าเขาจะถูกส่งไปขายที่ปารีสได้ง่ายขึ้น
จากนั้นก็เริ่มต้นด้วยการเช่าโรงงานเก่า ๆ แห่งหนึ่งในวัทเทน (Watten) แล้วดัดแปลงมาเป็นโรงงานเจียระไนหินอัญมณีภายใต้ชื่อว่า Pieers Tailees Du Tyrol หรือหินเจียระไนของทิโรล ด้วยวัทเทนอยู่ในเขตของทิโรล สัญลักษณ์ของบริษัทคือดอกเอเดลไวส์ เป็นดอกไม้ประจำชาติของออสเตรีย เป็นดอกไม้ป่าเล็ก ๆ สีขาวยื่นออกไปจากแกนกลาง ขึ้นอยู่บนเฉพาะที่สูง ๆ เท่านั้น ในสมัยก่อนใครมีดอกนี้ถือว่าเจ๋งเพราะต้องปีนขึ้นภูเขาแล้วเด็ดลงมา ธรรมเนียมออสเตรียในสมัยก่อนถ้าชายใดนำดอกเอเดลไวส์ไปมอบให้หญิงสาว ถือว่าเป็นการแสดงความรักที่เด็ดเดี่ยวและมักจะได้รับการตอบรับจากฝ่ายหญิง แต่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มตกเขาตายปีละหลาย ๆ คนc28c29
ในช่วงแรกแดเนียลต้องสั่งแก้วมาจากโบฮีเมีย แต่แก้วมีคุณภาพของข้างต่ำทำให้สวารอฟกี้ผลิตออกมาได้ไม่แวววาวเท่าที่ควร แดเนียลกับลูกชายจึงได้คิดวิธีผลิตแก้วให้ใสแวววาว โดยสั่งวัตถุดิบจากโบฮีเมีย ใช้เวลากว่า 3 ปีในการประดิษฐ์เตาเผาและคิดค้นกรรมวิธีในการผลิต จนได้แก้วแวววาวใสแจ๋ว ด้วยความคิดอันบรรเจิด สามารถผลิตแก้วคริสตัลคุณภาพดีและผลิตได้ครั้งละมาก ๆ ขณะนั้นมีพนักงาน 600 คน ตรงนี้เป็นบริเวณทางเข้าc26
แต่ฟ้าสดใสก็เริ่มหมองหม่น เมื่ออสเตรียประกาศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเป็นพันธมิตรกับเยอรมัน พนักงานส่วนมากถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร โรงงานเองก็กลายเป็นที่ผลิตอาวุธแทน ดาเนียลไม่มีทางเลือกจำต้องช่วยรัฐบาลผลิตชิ้นส่วนบางอย่าง และในช่วงนี้เองที่เขาพยายามคิดค้นที่จะทำให้เครื่องถูและเครื่องขัดเงามีประสิทธิภาพขึ้นไปอีก สองปีต่อมาเขาก็สามารถคิดค้นได้ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มสงบลงและออสเตรียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่สวารอฟสกี้ไม่ได้พ่ายแพ้ไปด้วย เขาตัดสินใจส่งออกสินค้าภายใต้ชื่อใหม่ว่า Tyrolitc30
ปี ค.ศ. 1920 สวารอฟสกี้ถือว่าประสบความสำเร็จมาก ทั้งนี้ด้วยความนิยมในเครื่องประดับ อัญมณีเพิ่มมากขึ้น และคู่แข็งคนอื่น ๆ ก็ยังไม่ฟื้นหลังสงคราม แต่เขาก็ไม่ได้หลงระเริงไปกับความสุข กลับพัฒนาคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ จนได้แก้วสะท้อนแสง ซึ่งใช้เวลากว่า 20 ปี เรียกว่า Swareflex สินค้าประเภทนี้ได้แก่หมุดและป้ายสะท้อนแสงที่ใช้บนทางหลวง รางรถไฟและการเดินเรือทั่วโลก ส่วนลูกชายก็ได้ผลิตกล้องส่องทางไกลชนิดสองตา ได้ เมื่อมาถึงจุดนี้ทำให้ฐานของสวารอฟสกี้ก็ขยายออกไปไกลc32c34
บริเวณด้านในมีการแสดงเป็นห้องต่าง ๆ โชว์ผลิตภัณฑ์ที่ตกแต่งด้วยคริสตัลสวารอฟสกี้c31และจุดที่ทุกคนเฝ้ารอคอย นั่นก็คือบริเวณที่ขายของค่ะ ทั้งสร้อย ต่างหู แหวน ปากกา นาฬิกา พวงกุญแจ ตุ๊กตาตั้งโชว์ เชื่อได้ว่าหลายคนที่เข้าไปออกมาตัวปลิวสบายแน่ค่ะ เห็นอะไรก็น่าซื้อไปหมด บ๊ายบาย เก็บเงินเราไว้ดี ๆ ด้วยนะ ><c33
หลังจากนั้นเราก็เดินทางไปขึ้นเขาอีกค่ะ เขานี้อยู่ในออสเตรียนั่นคือ สตูไบแอลป์ (Stubai Alps) อยู่ที่เมือง Neustifts ได้รับการขนานนามว่าเป็น Top of Tyrol คือสูงที่สุดในเขตทิโรล ยอดสูงกว่า 3,210 เมตร ถือว่าเป็นสวรรค์ของนักสกีระดับโลก ขึ้นยอดเขาโดยเคเบิลคาร์ สู่ยอดสถานี Schaufeljoch ใช้เวลา 35 นาที
image001ด้วยช่วงที่เราไปยังไม่เข้าหน้าหนาว ทำให้มีนักเล่นสกีและนักท่องเที่ยวไม่มากนัก เขานี้ก็เลยเป็นของเรา กระเช้าไต่ไปเรื่อย ๆ จากฝนปรอย ๆ ก็กลายเป็นหิมะ ด้วยความสูงระดับนี้ก็มีโอกาสเจอได้ไม่ยากc35c36
กระเช้าพาเราไปจุดสูงสุดที่ 3,210 เมตร  ความสูงระดับนี้หายใจไม่สะดวกเท่าที่ควร ประกอบกับลมแรงมาก เดินได้หน่อยเดียว ไม่ไหว ๆ ขอกลับเข้าไปในอาคารก่อนนะค๊าc37
ผจญความหนาวและลมแรงได้ไม่นาน ก็กลับมาที่ Stubai Glacier Top station เพื่อรับประทานอาหารกลางวันกัน  อิ่มหนำสำราญกันแล้ว ก็ได้เวลาลงจากเขา มุ่งหน้าเมืองต่อไปเมืองทะเลสาบแสนสวยฮาลล์สตัทท์ (Hallstatt) c38 รีวิวตอนต่อไป –> เมืองฮาล์ลสตัทท์ , เมืองเมลค์ และไร่ไวน์ Loisium 

รีวิวเที่ยวยุโรปตะวันออก ตอนที่ 4 : ฮาล์ลสตัทท์ (Hallstatt), เมืองเมลค์ (Melk) และไร่ไวน์ Loisium

บันทึก

รีวิวตอนที่แล้ว –> ตอนที่ 2 มิวนิค พิพิธภัณฑ์ BMW, ปราสาทนอยชวานสไตน์และเมืองฟึสเซ่น

Leave a comment