รีวิวเที่ยวยุโรปตะวันออก ตอนที่ 4 : ฮาล์ลสตัทท์ (Hallstatt), เมืองเมลค์ (Melk) และไร่ไวน์ Loisium

มาถึงฮาล์ลสตัทท์ (Hallstatt) เมืองแสนสวยริมทะเลสาบกันแล้วค่ะ เราจะพักกันที่นี่ 2 คืน เมืองนี้รถไม่สามารถเข้าไปได้ นอกจากรถของคนในเมืองนี้เอง ถ้าใครจะพักที่นี่แนะนำให้แพคกระเป๋าเล็กแล้วลากเข้าไปดีกว่าค่ะ แต่ถ้าใครมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาด้วยแล้วไม่อยากลากกระเป๋าเข้าไปเองก็อาจจะสอบถามโรงแรมว่ามีบริการรถมาขนกระเป๋าเข้าไปหรือเปล่า แล้วค่าบริการเท่าไหร่ จากจุดจอดรถถ้าเดินเรื่อย ๆ ไปจนถึงจัตุรัสกลางเมืองราว ๆ 10-15 นาที แบบไม่เอ้อระเหยมากนะคะ สำหรับเซตรูปเมืองนี้ขอรวมรูปสวย ๆ ที่ไปมาในหลาย ๆ ฤดูค่ะ c44รูปปั้นคนงานเหมืองตรงบริเวณหน้าทางเดินเข้าไปในเมืองc87เดินเข้าไปกันค่ะc72วิวสวย ๆ ตลอดทาง อย่าเดินเพลินมาก คอยหลบรถด้วยยยยค่าc73บ้านต้นไม้เก๋ ๆ แต่อย่าจับนะคะ…พลีส เจ้าของบ้านคงเสียดาย นักท่องเที่ยวจับกันทั้งวันh46เดินไปเรื่อย ๆ จนผ่านจัตุรัสใจกลางเมือง (Marktplatz หรือ Market Square) และโบสถ์ Evangelische Pfarrkirche ก็ถึงละค่ะ….แวะไปเช็คอินกันก่อนที่ Heritage Hotel เป็น 1 ในที่พักที่เห็นวิวทะเลสาบ แต่ ๆๆ ไม่ใช่ทุกห้องที่เห็นวิวทะเลสาบนะคะ ดังนั้นตอนจองต้องเลือกดูดี ๆ ว่าต้องการพักห้องแบบไหน บางห้องก็ไม่เห็นหรือบางห้องก็ตั้งอยู่ตึกด้านหลังh71c41c42c43ถ้าเลือกห้องพักวิวทะเลสาบก็จะออกมาชมวิวสวย ๆ ได้ที่ระเบียงc88ถ้าใครใช้รถสาธารณะ นั่งรถไฟแล้วต้องข้ามเรือมาก็สะดวกมาก ๆ เพราะตั้งอยู่ตรงข้ามกับท่าเรือ Schifffahrt ที่นี่มีท่าเรืออยู่ 2 จุด อีกที่อยู่ตรงใกล้ ๆ ที่จอดรถก่อนเดินเข้ามาในเมืองc46 อาหารเย็นวันนี้ จัดไปค่ะ เมนูชื่อดังปลาเทร้าท์ที่ร้านอาหารของโรงแรม Seewirt Zauner ตั้งอยู่ตรงจัตุรัส เดินไปนิดเดียวh47ปลาเทร้าท์ สด อร่อยค่ะ แต่ต้องใช้สกิลในการเขี่ยก้างออกอยู่เหมือนกันc39 วันที่แปดของการเดินทาง : เช้านี้กินวิวสวย ๆ กันก่อนที่ริมระเบียง แถมอากาศดีมว๊ากกกกกc45เมืองนี้เป็นเมืองริมทะเลสาบ มีประชากรไม่ถึงพันคน ผู้คนสร้างบ้านเรือนบนเขาหลดหลั่นกันไปในที่แคบ ๆ ตามแนวเขา แต่กลับดูออกมาสวยงาม จนได้เป็นแบบในการทำโปสการ์ดและ wallpaper มากมาย ทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็นไข่มุกแห่งออสเตรียและได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1997 ในสมัยก่อนต้องข้ามเรือมาอย่างเดียวเท่านั้นค่ะ เดี๋ยวนี้มีถนนถึงเลย สะดวกสบายขึ้นมาก เดี๋ยวไปจุดถ่ายรูปมุมชนมาหา มหาชนกันก่อน อยากได้มุมนี้เมื่อเจอโบสถ์เดินตรงต่อไปเรื่อย ๆ ค่ะ เป็นทางไม่ได้ใหญ่มาก เลี้ยวไปตามทางก็จะเจอมุมสวย ๆ แบบนี้ c49c50h53อยากได้วิวไม่ติดคนแบบนี้ แนะนำให้พักที่เมืองนี้แล้วค่อยมาถ่ายตอนเช้า ๆๆๆๆ หรือเย็น ๆ ค่ำๆ เพราะส่วนมากแล้วคณะทัวร์หลากหลายชาติที่มากันเป็นรถบัสมักจะไม่ค่อยพักค้างคืนกันที่นี่ ไม่อย่างนั้นก็แอบยากอยู่กว่าจะได้ถ่ายแบบไม่ติดคน และที่สำคัญถ่ายรูปบริเวณนี้ต้องใช้วิธีกระซิบกันหน่อยจะได้ไม่รบกวนบ้านคนที่อาศัยอยู่แถวนั้นค่ะh51h50h49c85เดินย้อนกลับมาทางเดิม จะเห็นบันไดเล็ก ๆ ทางด้านขวามือ ถ้าใครอยากขึ้นไปชม Catholic Parish Church และสุสานประจำเมือง ไปทางนี้ค่ะ h48สุสานที่นี่มีมากกว่า 100 หลุม ประดับประดาสวยงามด้วยเหล็ก ไม้และดอกไม้สวยงาม พอนานวันเข้าสถานที่ฝังก็ไม่เพียงพอจึงได้มีการขุดกระดูกของศพที่ฝังแล้วมาทำความสะอาด ทิ้งไว้ให้แห้งจนกะโหลกเป็นสีงาช้างแล้วเพนท์ชื่อหรือลวดลายลงไปและเก็บไว้ที่ Bone House แต่ปัจจุบันไม่ได้มีการขุดขึ้นมาแล้วค่ะเพราะการเผาก็เป็นที่ยอมรับมากขึ้น c70h68เดินต่อไปเรื่อย ๆ จะเห็นลานจอดรถกว้าง ๆ มีน้ำตกที่ไหลลงมาจากเขา พร้อมวิวเมืองสวย ๆ ที่มองจากด้านบนh54c57h69c65เดินชมบ้านเรือนและดอกไม้ ใบไม้สวย ๆ กันต่อh56h57h58ลงมาด้านล่างจัตุรัสเล็ก ๆ ใจกลางเมือง ถือว่าเป็นจุดที่สำคัญโดยเฉพาะในช่วงยุคกลางราว ๆ ปี ค.ศ.1311 ที่การค้าเกลือของเมืองนี้เจริญรุ่งเรืองมาก และได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ The Holy Trinity ขึ้นมา เมืองนี้เคยถูกไฟไหม้ใหญ่ในปี 1705 ทำให้ตึกหลายแห่งสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยปูนแทนที่ไม้ของเดิม และตรงนี้ยังเป็นที่จัดตลาดคริสต์มาสในทุก ๆ ปีอีกด้วยc67c61c66h60อีก 1 ที่พักที่เห็นวิวทะเลสาบ Hotel Grüner Baumc58ดินแดนแถบนี้พบร่องรอยของผู้คนที่อาศัยมานานประมาณ 5 พันปีก่อนคริสตกาล เพราะที่นี่เป็นแหล่งเกลือขนาดใหญ่ สมัยก่อนเกลือมีความจำเป็นในการถนอมอาหาร ที่นี่จึงเปรียบเสมือนเหมืองทองในปัจจุบัน ตรงนี้ก็เลยเป็นชุมชนขึ้นมา ส่งผลให้เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้กลายเป็นเมืองที่แสนจะร่ำรวย เหมืองเกลือที่นี่เป็นเหมืองเกลือที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมีอายุมากกว่า 7,000 ปีมาแล้ว แต่เพิ่งถูกค้นพบเมื่อ 200 ปีที่แล้ว ตั้งอยู่ด้านบนยอดเขา ถ้าใครมีเวลาแวะขึ้นไปเที่ยวได้นะคะ ทำให้เมืองนี้มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเกลือออกมาขายมากมาย รายละเอียดเพิ่มเติม ค่ากระเช้า ค่าเข้าชมเหมืองเกลือ หรือถ้าใครไม่อยากเข้าชมเหมืองเกลือแต่อยากขึ้นไปชมวิวสวย ๆ ด้านบนก็ได้เช่นกันค่ะ –> https://www.salzwelten.at/en/hallstatt/c62c86c68อยากเห็นซากุระก็ต้องมาช่วงเดือนเมษายนค่ะh61h59h62วิธีการเที่ยวชมเมืองนี้ เดินแล้วก็เดินค่ะ สวยทุกมุม ทุกฤดูจริง ๆ ถ้ามาช่วงหน้าหนาว เมืองนี้ทั้งเมืองก็จะเปลี่ยนเป็นสีขาว ถ้าเป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ใบไม้ก็จะเปลี่ยนเป็นสีส้ม เหลืองทั้งหุบเขา เดินแล้วไม่มีเบื่อแน่ ๆ ว่ากันว่าเมืองนี้ฮวงจุ้ยสุดยอดเพราะด้านหน้าเป็นน้ำ ด้านหลังเป็นเขาc90ออกไปเดินเล่นด้านนอกกันบ้างค่ะ เลยจากจุดจอดรถไป ปัจจุบันบ้านพักหลายแห่งก็มาทำเป็นที่พักรองรับนักท่องเที่ยวหรือไม่ก็ร้านอาหาร h66ด้านซ้ายมือเป็นกระเช้าขึ้นไปสู่ยอดเขาด้านบน ใครสนใจอยากเข้าไปชมเหมืองเกลือที่เก่าแก่ที่สุดในโลกหรือถ้าแค่อยากขึ้นไปชมวิวด้านบน สามารถดูรายละเอียดต่าง ๆ ได้ที่ –> https://www.salzwelten.at/de/hallstatt h70h72c76ซูมไปเห็นทั้งเมือง ภาพจากมือถือเลยแอบมัวมากไปหน่อย h63c75c77เดินย้อนกลับไปในเมืองh67h64h65c79c81พิพิธภัณฑ์ Welterbe Museumc83c84มองย้อนกลับไปจะได้วิวมุมนี้ค่ะc59c60ทานอาหารเย็นกันที่ Hotel Grüner Baum จะได้ชมวิวริมทะเลสาบ มีแบบนั่งด้านในและด้านนอกc92c91
รอพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า เดินขึ้นไปบนเขาอยากได้รูปเมืองพร้อมแสงไฟ เดินต่อ ๆๆ ค่ะc52c53ถ้ามีโอกาสแนะนำว่ามานอนพักที่นี่สักคืนค่ะ จะได้มีเวลาเก็บภาพสวย ๆ ในตอนเช้าและยามค่ำคืนแบบนี้c54
วันที่เก้าของการเดินทาง : เช้านี้เราจะนั่งรถยาว ๆ กันไปที่เมืองเมลค์ (Melk) เมืองเล็ก ๆ อยู่ในหุบเขาวาเคา (Wachau) และริมแม่น้ำดานูบ มีประชากรประมาณ 5,000 คนเท่านั้น แต่กลับมีความสำคัญอย่างยิ่งในหน้าประวัติศาสตร์ออสเตรีย ถือว่าเป็นชัยภูมิและที่ตั้งแห่งแรกของการเป็นประเทศออสเตรียเมื่อประมาณพันปีเศษมาแล้ว เพราะที่นี่เป็นที่มั่นแห่งแรกของตระกูลบาร์เบนบวร์ก ผู้ปกครองตระกูลแรกของออสเตรีย และเมลค์ก็เคยเป็นค่ายทหารชื่อว่า ค่ายเมลค์มาในสมัยพระเจ้าออตโตที่ 1 ที่ชนะการรบกับพวกแม็กย่าร์ในสงครามแห่งเลชเฟลด์ และเมื่อลีโอโพลด์ ต้นราชวงศ์บาร์เบนบวร์กที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองเมือง ได้เลือกป้อมปราการบนเนินสูง ซึ่งปัจจุบันคือโบสถ์เมลค์ ด้วยว่าเป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การป้องกันตนเอง แต่นั้นมาเมืองเมลค์ก็ได้เป็นศูนย์กลางการบัญชาการทหารของราชวงศ์บาร์เบนบวร์กต่อมานานอีก 100 ปีd1
ใช้เวลาเดินทางจากเมืองฮาล์ลสตัทท์มาประมาณ 3 ชั่วโมงนิด ๆ โบสถ์นี้ได้ใช้เป็นป้อมปราการและที่ประทับของผู้ครองเมือง 5 คนแรกของราชวงศ์บาร์เบนบวร์ก เรื่องสำคัญในยุคของพระเจ้าไฮน์ริคที่ 1 ผู้ปกครองคนที่ 2 ของราชวงศ์นี้ ได้นำเอาซากศพที่ไม่เปื่อยของนักบุญโคโลแมนมาฝังภายในป้อมปราการแห่งนี้ ด้วยว่านักบุญโคโลแมน เป็นชาวไอริช และต้องการเดินทางไปแสวงบุญที่กรุงเยรูซาเลมตามความเชื่อของคริสต์ศาสนิกชนในยุคนั้น ระหว่างเดินทางกลับถูกจับกุมที่เมือง สต็อคเครัว ด้วยความที่สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ท่านพูดภาษาอังกฤษ คนจับพูดเยอรมัน เลยนึกว่าท่านเป็นสปายมาสืบความลับหรือก่อวินาศกรรม สุดท้ายเลยตั้งศาลเตี้ยประหารชีวิตด้วยการแขวนคอใต้ต้นไม้d2
เมื่อไฮน์ริคที 1 ทราบเรื่องภายหลัง และรู้ว่าท่านนักบุญโคโลแมนเป็นนักบวช และศพของท่านไม่เน่าเปื่อย ก็เลยคิดว่าท่านเป็นนักบุญมาโปรด เลยได้สถาปนาท่านให้เป็นนักบุญอุปถัมภ์ของป้อมปราการแห่งนี้ แต่ที่มาของเรื่องนี้อีกทางนึงก็ว่า หลังจากท่านถูกผูกคอกับต้นไม้ที่ยืนตายซากมานาน ต้นไม้กลับมีชีวิตมาได้อีกครั้ง ราวกับอภินิหาร เลยทำให้ไฮนริคที่ 1 อยากได้ร่างของท่านมาไว้ที่ป้อมปราการ ปัจจุบันทางโบสถ์ก็ได้เก็บรักษาพระธาตุของท่านโคโลแมนไว้ คือกระดูกกรามอันล่าง ไว้ในภาชนะทำด้วยแก้วมีโลหะเป็นโครง ตกแต่งสวยงาม นอกจากนี้ยังได้พระมหาธาตุที่เป็นชิ้นส่วนของไม้กางเขนที่ตรึงพระเยซู และได้รับการยืนยันจากศาสนจักรแล้วว่าเป็นของจริง และแหลนมอริเชียส ซึ่งเป็นแหลนประจำตัวของท่านมอริเชียส ผู้ที่ยอมอุทิศตนเองให้กับศาสนา ถือว่า 3 สิ่งนี้เสริมบารมีให้กับราชวงศ์บาร์เบนบวร์ก
เราเข้าชมโดยมีไกด์พูดภาษาอังกฤษเป็นคนนำเที่ยว พร้อมข้อมูลที่อัดแน่น ห้องนี้เป็นห้องแรก Höre เป็นภาษาเยอรมันแปลว่าได้ยินd3
จนกระทั่งหมดยุคพระเจ้าลีโอโพลด์ที่ 2 ซึ่งประทับเป็นองค์สุดท้าย ต่อมาเป็นพระเจ้าลีโอโพลด์ที่ 3 ได้ย้ายพระราชวังและฐานบัญชาการไปที่เมืองคลอสเตอร์นูบวร์ก ส่วนโบสถ์นี้ท่านบิชอบอัลแมนน์ เป็นผู้ริเริ่มให้สร้างโบสถ์ขึ้นข้าง ๆ ป้อมปราการเมลค์ในยุคพระเจ้าลีโอโพลด์ที่ 2 ด้วยในสมัยนั้นศาสนจักรถือว่ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าอาณาจักร โดยได้รับเอานิกายเบเนดิกเข้ามาเป็นแนวปฎิบัติd4
เริ่มแรกไม่ได้อลังการขนาดนี้แต่ได้มีการสร้างเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ เมื่อพระเจ้าลีโอโพลด์ที่ 3 จะย้ายพระราชวัง ด้วยที่นี่เป็นที่ฝังพระศพของราชวงศ์บาร์เบนบวร์ก และพระเจ้าลีโอโพลด์ที่ 3 ต้องการให้มีคนเฝ้าดูแลตลอดเวลา จึงยกพื้นที่ทั้งหมดตรงนี้ให้กับโบสถ์เมลค์d5h73นิกายเบเนดิก ก่อตั้งโดยนักบุญเบเนดิกแห่งนอร์เซีย ประเทศอิตาลี มาจากครอบครัวที่ฐานะดี ท่านรู้สึกช็อคกับความประพฤติที่เหลวแหลกของมนุษย์จึงไปปลีกวิเวก ปฎิบัติธรรมอยู่เงียบ ๆ ในถ้ำนานถึง 3 ปี จนกิตติศัพท์ร่ำลือ ผู้คนก็หลั่งไหลไปกราบไหว้ จนมีคนนิมนต์ให้ท่านไปเป็นเจ้าอาวาสวัดทางตอนเหนือของอิตาลี ท่านก็รับปาก แต่พอไปจริง ๆ พระลูกวัดรับความเคร่งครัดไม่ได้ จึงมีแผนจะกำจัดท่านด้วยยาพิษ บังเอิญท่านรู้ตัวเสียก่อน จึงหนีออกจากวัดและไปตั้งวัดของท่านเองที่เมืองมอนเต เคสเซโน ถือว่าเป็นวัดแรกของนิกายเบเนดิก หลักปฎิบัติมี แนวทางชีวิต เป็นตัวบังคับ พระไม่อนุญาติให้เป็นเจ้าของ ทรัพย์สมบัติใด ๆ ชาวบ้านจะเป็นคนถวายอาหารและที่อยู่ให้แก่พระ แต่พระเองก็ต้องช่วยเหลือผู้ยากจน สิ่งของที่ได้รับมาจากการทำบุญก็ต้องบริจาคต่อไป และภายในโบสถ์จะมีโรงเรียนไว้สอนเด็ก ๆ ด้วย เครื่องแต่งกายก็จะเป็นในรูปแบบเรียบง่ายคือ เสื้อคลุมยาว และหมวกคลุมหัวจากด้านหลัง (Hood) นิยมแต่งกายด้วยสีดำ ด้วยเหตุนี้พระนิกายนี้จึงได้ชื่อว่า Black Monk หรือพระดำh74d10
การแสดงการใช้โลงในสมัยก่อน โดยหมุนเอาแค่ศพฝังลงไป โลงนำกลับมาใช้ใหม่d11
บริเวณทางเดินเชื่อมห้องต่อห้องd12h75โมเดลจำลองd14d15
ห้องโถงหินอ่อน (Marble hall) ที่ไม่มีหินอ่อนเลย แต่ใช้แร่ธาตุผสม ๆ กัน ในสมัยนั้นนิยมทำเสมือนธรรมชาติมากกว่าของจริง เพราะเชื่อว่าพระเจ้าสร้างทุกสิ่งในธรรมชาติ ถ้าเราสามารถทำสิ่งของเสมือนธรรมชาติ ก็ถือได้ว่าเข้าใกล้กับพระเจ้าอีกนิดh76ตะแกรงตรงพื้นห้องโถง ในสมัยก่อนด้านล่างเป็นครัว ปล่อยให้ไอความร้อนจากการทำอาหารขึ้นมาตามช่องเพื่อให้ห้องโถงนี้อุ่นขึ้นในฤดูหนาว ส่วนเพดานด้านบนเป็นเทพีอารีน่า เทพธิดาแห่งสติปัญญาและสงครามในปรำปรากรีกd17d18
เดินมาเจอทางเข้าโบสถ์ สีสวยมากh77d25d20h80ด้านในหรูหราอลังการงานสร้างมากกกd21h78h79d24
ทางออกนี้จะมีบันไดวนสวย แต่กลับมาดูรูปแล้ว ไหงไม่มีก็ไม่รู้ >< มื้อเที่ยงเราทานอาหารกันที่นี่ค่ะ ก่อนจะเดินทางไปชมไร่ไวน์ Loisium ที่เมือง Langenlois ตั้งอยู่ในเขต Lower Austriad35d26
เหตุผลที่มีอยากแวะมาชมไร่ไวน์เพราะไวน์ออสเตรียเป็นไวน์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกเรื่องคุณภาพ และการดื่มไวน์ก็ถือเป็นประเพณีของคนออสเตรีย จึงมีไวน์หลากหลายประเภทเกิดขึ้นที่ประเทศนี้ เราเลือกไร่ไวน์อยู่หลายที่ จนมาเจอที่นี่ดูน่าสนใจและพอมาจริง ๆ ต้องบอกว่าไม่ผิดหวังค่ะd27
สามารถดูได้ที่ http://www.loisium.com จัดแสดงเรื่องราวของไวน์และการนำเสนอได้เป็นอย่างดี ไม่เบื่อเลยค่ะ มีไกด์ภาษาอังกฤษพาเข้าชมd28
แบ่งโซนเป็นห้อง ๆ อย่างบางห้องก็แสดงให้เห็นถึงการเก็บไวน์และวิถีชีวิตผู้คนในสมัยก่อนd29d30
ไวน์ออสเตรีย ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งเรื่องคุณภาพและราคา จัดอยู่ในอันดับที่ 18 ของประเทศที่ผลิตไวน์มากที่สุดในโลก และบริโภคมากเป็นอันดับ 7 ของโลก ในอัตรา 10 แกลลอนต่อคนต่อปี ส่วนมากเป็นไวน์ขาว ซึ่งทำจากองุ่นชื่อดังอย่าง Gruner ถือว่าเป็นไวน์ขาวแบบ dry ที่ไม่เป็นรองใครในโลก ในขณะที่ไวน์แดงผลิตประมาณ 30% จากองุ่นพื้นเมือง เช่น Blaufrankisch , Pinot Noir และองุ่นพื้นเมือง Zweigelt และยังเป็นแหล่งกำเนิดแก้วไวน์ระดับสุดยอดของโลกคือ Riedal ออสเตรียมีองุ่นประมาณ 35 สายพันธุ์ แต่นิยมนำมาทำไวน์ประมาณ 18 สายพันธุ์และเป็นไวน์ขาว 13 สายพันธุ์
ถังยักษ์บ่มไวน์d31
d34d32d33
ใช้เวลาทัวร์ประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ หลังจากนั้นก็มีไวน์กับน้ำองุ่นมาให้ชิม สำหรับคนที่ไม่ดื่ม และร้านขายของอีกแล้วววค่ะd36d37
นอกจากมีทัวร์ไร่ไวน์แล้ว ที่นี่ยังมีที่พักเก๋ ๆ สำหรับคนที่อยากพักที่นี่ แต่เราขอมุ่งหน้าต่อไป…เวียนนารอเราอยู่ค่ะd38
แวะทานอาหารเย็นกันที่หมู่บ้านกรีนซิ่ง (Grinzing Village) ก่อนไปเช็คอินกันที่โรงแรม Raddison Blu Park Royal Palace Vienna
รีวิวตอนต่อไป –> เที่ยวเวียนนา :

รีวิวเที่ยวยุโรปตะวันออก ตอนที่ 5 : เวียนนา

รีวิวตอนที่แล้ว –> ตอนที่ 3 ยอดเขาซุกสปิตเซ่, เมืองอินส์บูรก์, พิพิธภัณฑ์สวารอฟสกี้ และสตูไบแอลป์

รีวิวเที่ยวยุโรปตะวันออก ตอนที่ 3 : ยอดเขาซุกสปิตเซ่ เมืองอินส์บูร์ก พิพิธภัณฑ์สวารอฟสกี้และสตูไบแอลป์

บันทึก

บันทึก

2 thoughts on “รีวิวเที่ยวยุโรปตะวันออก ตอนที่ 4 : ฮาล์ลสตัทท์ (Hallstatt), เมืองเมลค์ (Melk) และไร่ไวน์ Loisium

  1. ภาพสวยมากครับ ข้อมูลมีประโยชน์มาก ๆ

Leave a comment