วันที่สิบสี่ของการเดินทางแล้วค่ะ เที่ยวกันเพลินใจมากกก เช้านี้เราเช่ารถแบบ 10 ที่นั่งพร้อมคนขับไปเมืองคาร์โรวี วารีกัน (Karlovy Vary) รถมารับ-ส่งที่หน้าโรงแรมเลยค่ะ สายรุ้งระหว่างทางใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงเมืองคาร์โรวี วารี (Karlovy Vary) กันแล้ว เมืองนี้ตั้งอยู่บนสองฝั่งแม่น้ำเทปล้า เป็นเมืองน้ำแร่ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโบฮีเมีย มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ชื่อคาร์โรวี หรือ คาร์ล ภาษาอังกฤษว่าชาร์ลส์ ชื่อของกษัตริย์ผู้ปกครองเชค และวารี แปลว่าบ่อน้ำร้อน แปลรวมกันก็เป็นบ่อน้ำพุของคาร์ล ส่วนอีกเมืองที่โด่งดังเรื่องสปาเหมือนกันคือเมืองมาเรียนสกี้ ลาซเน่ (Mariánské Lázně) เมืองนี้เราไม่ได้ไปค่ะ คิวแน่นมว๊ากกกก หาที่แทรกไม่ได้เลยจริง ๆ
แวะทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารจีน ร้านนี้อยู่ทางด้านขวาที่รถม้าจอดอยู่
จากจุดจอดรถม้า เดินเลยมาแล้วลงบันไดมาเรื่อยๆ ค่ะ
ตามตำนานกล่าวว่าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 ออกมาล่าสัตว์แล้วยิงหมาป่าได้ แต่หมาป่ายังคงวิ่งหนีไป พระองค์ก็ตามจนไปเจอที่บ่อน้ำพุร้อน ถึงทำให้พระองค์รู้ว่าที่นี่มีบ่อน้ำพุร้อนมากถึง 12 แห่งและมีคุณภาพที่เยี่ยมมาก มีคุณสมบัติในการรักษาโรคต่าง ๆ โดยแต่ละบ่อจะมีอุณหภูมิตั้งแต่ 30-73 องศาSadova Kolonada (Park Colonade) ระเบียงไม้ลวดลายฉลุหวาน ๆ สไตล์วิคตอเรีย มีสวนเล็ก ๆ อยู่ข้าง ๆ เดินเข้าไปด้านในจะมีบ่องู ไม่มีงูนะคะ เป็นบ่อน้ำร้อนรูปงูแค่นั้น แต่ละบ่อจะมีหมายเลขกำกับไว้ว่าเป็นบ่อที่เท่าไหร่ ป้ายเป็นภาษาเชคที่เขียนว่า Pramen แล้วก็ระบุไว้ว่าอุณหภูมิเท่าไหร่เพราะแต่ละบ่ออุณหภูมิน้ำก็ไม่เท่ากัน
มารยาทในการดื่มน้ำแร่ของเมืองนี้ ควรใช้ภาชนะเซรามิก ไม่ควรนำขวดพลาสติคไปรองน้ำแร่ตามบ่อต่าง ๆ แก้วชิมน้ำแร่ที่นี่มีลักษณะพิเศษตรงที่หูจับของแก้วจะทำเป็นปล่องไว้สำหรับดูดน้ำแร่ เรียกว่า Becher ราคาแก้วอยู่ที่ประมาณ 50-100 CZK แล้วแต่ขนาด ไปสอยแก้วกันก่อน ร้านขายแก้วและขายของที่ระลึกมีตลอดทาง ของก็คล้าย ๆ กันแต่ราคาไม่เท่ากัน ดูจนพอใจราคาก่อนแล้วค่อยสอยค่ะ มีแก้วเป็นของตัวเองแล้ว ก็ต้องชิม รสชาติคือ…..ประมาณนั้น ต้องไปชิมเอง
Becherovka หรือเหล้าสมุนไพร มีต้นกำเนิดจากเมืองนี้ ทำมาจากน้ำแร่ แอลกอฮอล์ สมุนไพร เครื่องเทศ คิดค้นโดย ยาน เบเคอร์ ชาวเมืองคาร์โรวี วารี ถือว่าเป็นเครื่องดื่มชื่อดังของเชคเหมือนกัน วิธีดื่มก็ง่าย ๆ เปิดฝาแล้วก็ดื่มได้เลย หรือจะไปผสมเลมอน โทนิคก็ตามสบาย เพราะมีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ด้วย รสชาติแรงประมาณนึง ดื่มนิด ๆ ช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยแก้ท้องอืด ดื่มมาก ๆ ก็เมาสิค่ะ วันนี้ร้านปิดไม่รู้คนขายหายไปไหน ปกติก็ซื้อได้ที่บูธนี้มีหลายแบบ หลายขนาดให้เลือก ถ้าไม่ซื้อที่นี่ก็มีหลายเมืองวางขายอยู่ค่ะ
Mlynska Kolonada (Mill Colonnade) ระเบียงที่มีเสาทั้งหมด 124 ต้น สร้างในช่วง คศ 1871-1881 โดยสถาปนิกที่ออกแบบโรงละครกรุงปราก Josef Zitek เริ่มแรกสร้างขึ้นมาเป็นอาคารไม้เพื่อให้ผู้คนได้มารองน้ำแร่ไปดื่มกันได้ ต่อมาถูกสร้างใหม่เป็นอาคารอย่างที่เห็น ได้เปิดใช้เมื่อ 05 มิถุนายน ค.ศ.1881 ภายในทางเดินมีก็อกน้ำพุร้อนอุณหภูมิต่าง ๆ กันอยู่ 5 บ่อ ส่วนด้านหน้ามีอีก 6 บ่อ และตรงนี้เคยใช้เป็นฉากสถานีรถไฟในภาพยนตร์เรื่องเจมส์ บอนด์ ตอน Casino Royale ในปี 2006ย้อนกลับไปหลายร้อยปีที่แล้ว เมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศและมาพักรักษาตัวของเหล่าราชวงศ์ เศรษฐี อย่างจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซ่า พระเจ้าปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเซีย หรือแม้แต่ศิลปินชื่อดังอย่างเกอเธ่ บีโธเฟ่น ก็เคยมารักษาตัวอยู่ที่เมืองนี้ ตึกสีพาสเทลสวย ๆ ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันส่วนมากแล้วถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ทั้งจากภัยธรรมชาติและในช่วงสงครามโลกที่กลายเป็นที่พักของพวกนาซีจนตอนหลังสงครามเมืองนี้ถูกครอบครองโดยโซเวียต
อีกมุมสวย ๆ ใกล้กับ Mill Colonade
เมืองนี้เดินง่ายมาก มีแม่น้ำอยู่ตรงกลาง อาคาร 2 ฝั่งก็เป็นร้านค้า ร้านอาหาร ส่วนถ้าใครต้องการแลกเงินเชคก็สามารถหาแลกได้ไม่ยากค่ะ ส่วนใครต้องการข้อมูลเพิ่มเติมของเมืองนี้ก็ไปสอบถามได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
ระหว่างทางเดินไป Market Colonade มีร้านขายของพรึ่บบบบ ส่วนตัวอาคารของ Market Colonade เป็นอาคารไม้สีขาว ลักษณะเป็นหน้าจั่ว สร้างขึ้นในช่วง คศ .1882-1883 บนพื้นที่เดิมของศาลาว่าการเมือง เพิ่งได้รับการบูรณะใหม่เมื่อ คศ 1992 ที่นี่มีบ่อน้ำร้อนอยู่ 3 จุด
บ่อที่ 2 Pramen Karla IV เป็นจุดบ่อน้ำแร่ที่เก่าแก่ที่สุด พระเจ้าชาร์ลสที่ 4 ทรงตามหมาป่าที่ยิงได้มาถึงจุดนี้ บ่อนี้อุณหภูมิสูงถึง 64 องศาเซลเซียส ด้านบนเป็นป้ายไม้แกะสลักเกี่ยวกับเรื่องราวนี้
ตรงข้ามจะมีบันไดเดินขึ้นไปเป็นตึก Colonade มองตรงไปจะเห็น Church of St.Mary Madalene โบสถ์หัวหอมสีเขียว สไตล์บารอค เดิมทีเป็นเพียงโบสถ์เล็ก ๆ สร้างใกล้ ๆ กับหลุมฝังศพ ได้มีการปรับปรุงมาเรื่อย ๆ จนเกิดไฟไหม้เลยได้สร้างขึ้นมาใหม่ใช้เวลาสร้างทั้งหมด 3 ปี และได้เปิดในปี ค.ศ. 1737อาคารใหญ่ที่สุดในเมือง รูปทรงทันสมัย มีน้ำพุอยู่ 5 บ่อ และมีบ่อที่น้ำพุพุ่งสูงสุดของเมืองนี้ถึง 12 เมตร ความร้อน 73 องศา พุ่งจากแหล่งน้ำพุร้อนใต้ดินธรรมชาติที่ลึกลงไป 2,000 เมตร ด้วยอัตรา 2,000 ลิตรต่อนาที และมีรูปปั้นเทพีไฮเจีย (Hygieia) แห่งแอสคลีปีอุสตั้งอยู่ เป็นเทพีแห่งเภสัชกรรม รักษาโรคภัยไข้เจ็บ
นอกเหนือจากแก้ว Becher ที่ซื้อกันไปแล้วยังมีตะไบเล็บคริสตัลสีสันชวนเอากลับบ้านมากกกราคาที่นี่ถูกกว่าปราก จัดไป ๆ มีทั้งไซส์เล็ก ไซส์ใหญ่ ราคาประมาณ 30-50 CZK และขนมเวเฟอร์ Oplatky wafers ที่มีส่วนผสมของน้ำแร่ มีหลายรสชาติให้เลือกชิมเลือกซื้อได้ค่ะออกจากอาคารแล้วเดินต่อไปเรื่อย ๆ รถจะมารับเราอีกฝั่งจากที่ลงรถเมื่อตอนแรกค่ะ รูปปั้นที่เห็นเป็นลักษณะแบบนี้โดยมากแล้วในอดีตเมื่อเกิดโรคระบาด กษัตริย์หรือเจ้าเมืองจะวิงวอนขอพรจากนักบุญที่เคารพนับถือ เมื่อโรคระบาดสงบลงก็จะสร้างอนุสาวรีย์ลักษณะนี้ขึ้นเพื่อเป็นการตอบแทนGrand Hotel Pupp โรงแรมชื่อดังที่เคยใช้ถ่ายภาพยนตร์หลายเรื่องอย่าง เจมส์ บอนด์ ตอน Casino Royale และ The last holiday เดินต่อไปอีกนิดจะถึงจุดที่เรานัดคนขับรถมารับเรากลับปรากกันค่ะบ๊ายบายเมืองแสนสวยอีกเมือง หลับกันยาว ๆ ไป ประมาณ 2 ชั่วโมงถึงกรุงปราก คืนนี้เราพักกันที่กรุงปรากเหมือนเดิม แล้วตอนเช้าเราจะใช้บริการ http://www.ckshuttle.cz มารับเราที่โรงแรมไปส่งที่เมืองเชสกี้ คลุมลอฟ (Český Krumlov) เมืองสุดท้ายของทริปนี้ค่ะ
วันเดินทางที่สิบห้า : เมืองเชสกี้ คลุมลอฟ (Český Krumlov ) อยู่ห่างจากกรุงปรากประมาณ 180 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง เมืองนี้รถใหญ่ ๆ วิ่งเข้ามาไม่ได้ ต้องจอดอยู่ด้านนอก อนุญาตเฉพาะรถเล็กเท่านั้น ที่พักเราคืนนี้ The Old Inn ตั้งอยู่ตรงจัตุรัสกลางเมือง náměstí Svornosti
ที่พักที่นี่ บรรยากาศดี ที่ตั้งเลิศ แต่ห้องกะทัดรัด เตียงนอนถึงตั้งแบบนี้
กองทัพเดินด้วยท้อง คนขับรถหนุ่มที่ไปรับเรามาจากปราก แนะนำร้านอาหารอิตาเลี่ยน Papa’s Living Restaurant ต้องข้ามสะพานไม้เล็ก ๆ ที่เชื่อมฝั่งเขต Latrán ไป จะมีรูปปั้นพระเยซูกับรูปปั้นนักบุญเนโปมุกอยู่ตรงสะพานเดินมาไม่ไกล ร้าน Papa’s Living Restaurant อยู่ทางด้านขวามือค่ะ
อาหารอร่อย บรรยากาศดี้ ดี โดยเฉพาะวิวแม่น้ำด้านหลังร้าน
หลังทานอาหารกลางวันกันเรียบร้อย ก็เดินชมนก ชมไม้ ชมเมืองนี้กันเพลิน ๆ
เมืองนี้เปรียบดั่งหยดน้ำงามแห่งโบฮีเมีย ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำวัลตาวาและมีปราสาทกลางเหมือนกับที่กรุงปราก ต่างกันตรงที่เชสกี้ ครุมลอฟให้อารมณ์คล้าย ๆ เมืองในเทพนิยาย เล็ก ๆ น่ารัก ผู้คนก็ใช้ชีวิตกันไม่เร่งรีบเหมือนเมืองใหญ่อย่างกรุงปราก
บ้านเมืองทั้งหลายมีอายุเก่าแก่กว่า 300 ปีและไม่ถูกทำลายจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง แถมช่วงที่ถูกปกครองโดยคอมมิวนิสต์ก็ไม่มีคนต่างถิ่นเข้ามาเลย จึงได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดกกโลกในปี 1992 บ้านเรือนเน้นหลังคาสีแดงอมน้ำตาลดูเป็นเอกลักษณ์ไปทั้งเมือง
เดินไปทางข้างโบสถ์ St.Vitus จะไปชมวิวอีกมุมของเมืองนี้ ผ่านร้านกาแฟเกร๋ ๆ
ข้ามสะพานมาก็จะได้วิวโบสถ์ St.Vitus และบ้านริมแม่น้ำวัลตาวาโบสถ์สีเขียวทรงหัวหอมคือโบสถ์ St.Jose ส่วนหอคอยสีชมพูก็ Castle Tower
ปราสาทคลุมลอฟแบบซูม ๆ พรุ่งนี้ค่อยไปเที่ยวกันค่ะ
เมืองเล็ก ๆ เดินเล่นย้อนไปมาสบาย ๆ เล็งร้านขนมไว้หลังจากที่ทานกลางวันเสร็จ เลยต้องข้ามกลับไปที่ฝั่ง Latrán ไปทาน Trdelnik กันค่ะ เคยหม่ำแล้วที่ปราก รอบนี้ขอเป็นซินเนมอนของโปรดข้าง ๆ กันเป็นร้านเครป จัดไปอย่าให้เสียตบท้ายด้วยกาแฟร้านนี้ เราไม่หม่ำกาแฟ ไปชิมชากับโกโก้ร้อนแทน เชื่อว่าใครผ่านร้านนี้ต้องหมุนเล่นแน่ ๆ
กลับไปนั่งอืดที่ห้องแป๊ป ก่อนไปดินเนอร์ที่ Krčma Šatlava ร้านอาหารชื่อดังของเมืองนี้ ตั้งอยู่หลังโรงแรม Grand ตรงจัตุรัสที่เราพัก ร้านนี้ต้องจองมาก่อนนะคะ คิวแน่นมว๊ากกกกกและหัวก็จะเหม็นมว๊ากกกก 555 ร้านตกแต่งสไตล์ยุคกลาง บางโซนก็เหมือนนั่งอยู่ในถ้ำ เสิร์ฟอาหารกันมาบนถาด ทานกันแบบนั้นเลยค่ะทั้งขาหมูย่าง ซี่โครง เนื้อ ปีกไก่ ซุปในขนมปัง Mix Grilled แซลมอนย่าง เบียร์ ขนมหวาน…อิ่ม อืด แอนด์ง่วงมากกกกก รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ –> https://www.satlava.cz/ ด้วยที่พักเราตั้งอยู่ตรงจัตุรัสพอดี ได้ยินเสียงโป้งเป้งมาตั้งแต่เมื่อคืน พอเช้านี้เปิดหน้าต่างออกมาก็เป็นแบบนี้ค่ะ
ถามพนักงานโรงแรมว่ามีงานอะไร จึงได้รู้ว่าวันนี้วันที่ 28 กันยายน เป็นวัน St.Wencelas หรือวันชาติเชค จะมีบูธของชาวบ้านมาตั้งออกร้านแล้วก็มีเวทีแสดงดนตรีหรือโชว์ต่าง ๆ โชคดีของเราจริง ๆ
วันนี้เราเที่ยวกันมาเป็นวันที่ 16 ครึ่งเดือนกว่าแล้วววว เร็วมาก เช้านี้จะไปชมปราสาทคลุมลอฟกันก่อนที่ช่วงเย็นจะไปสนามบินเวียนนา บินกลับเมืองไทยกันแล้วค่ะ ข้ามสะพานไม้ไปฝั่ง Latrán ที่ตั้งของปราสาทคลุมลอฟ
เลยร้านพิซซ่าไปก็จะเจอ Red gate อยู่ด้านซ้ายมือ เลี้ยวเข้าไปโลดดดค่ะ
มองย้อนกลับไป ตึกทางด้านซ้ายจะเป็น Informationบริเวณ Courtyard ที่ 1ผ่าน Red gate ประตูทางเข้าหลักมาแล้ว ตรงนี้เป็นจุดบ่อหมี มีเลี้ยงหมีไว้จริง ๆ นะคะ เนื่องจากตระกุลโรเซนเบิร์กที่เป็นเจ้าของสืบเชื้อสายมาจากตระกูลเก่าในอิตาลีชื่อ Orsini คำว่า Orsa แปลว่าหมีตัวเมีย คนในตระกูลก็เลยอยากแสดงให้เห็นว่าเราได้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลเก่าแก่นี้ แต่สัญลักษณ์จริง ๆ ของตระกุลคือกุหลาบสีแดง 5 กลีบ ตามจำนวนลูกชาย 5 คน ถ้าใครไปเที่ยวช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายนจะมีการจัดงานเทศกาลกุหลาบ 5 กลีบ
เข้ามาในส่วน Courtyard ที่ 2 จะเจอกับหอคอยคลุมลอฟ ถ้าใครอยากขึ้นไปชมวิวด้านบนก็ซื้อตั๋วก่อนนะคะ บริเวณใกล้ ๆ กัน รวมถึงตั๋วเข้าชมปราสาทก็ซื้อที่นี่เหมือนกันค่ะ หอคอยคลุมลอฟสูง 86 เมตร มีบันไดทั้งหมด 162 ขั้น ขึ้นไปแล้วก็จะได้ชมวิวงาม ๆ ของเมืองเชสกี้ คลุมลอฟ แต่เราไม่ได้ขึ้นนะคะ เดี๋ยวเราต้องไปเข้าชมปราสาท ค่อยไปชมวิวจากปราสาทด้านหลังแทนด้วยตัวปราสาทตั้งอยู่บนหน้าผา ทางเดินบางช่วงก็มีชันบ้าง ถ้าใครใส่รองเท้าส้นสูง เนินนี้ไม่สนุกแน่ ๆ บริเวณ Courtyard ที่ 3 ภาพที่เห็นตรงกำแพงเป็นภาพปูนเปียกหรือที่เรียกว่า Fresco คนวาดต้องอาศัยความชำนาญและรวดเร็ว ต้องรีบวาดให้เสร็จก่อนที่ปูนจะแห้ง ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้นและทำให้สีติดทนทนนานเป็นร้อย ๆ ปี
แล้วเราก็นั่งรอไกด์มาพาเราเข้าชมปราสาท ที่นี่ไม่สามารถเดินชมเองได้ ต้องมีไกด์พาเข้าเป็นรอบ ๆ ด้านในมีทั้งโบสถ์เล็ก ๆ ห้องรับแขก ห้องนอน ห้องรับประทานอาหาร รถม้าที่ใช้ขนของไปให้พระสันตะปาปา ด้านในถ่ายรูปไม่ได้นะคะ ใช้เวลาชมราว ๆ 1 ช.ม.
เมื่อชมเสร็จแล้วจะออกมาตรงที่ Courtyard ที่ 4 มีร้านขายของที่ระลึก มีห้องน้ำ ส่วนถ้าใครอยากไปชมวิวเมืองเชสกี้คลุมลอฟ เดินไปทางด้านหลังกันต่อค่ะ
เดินขึ้นกันต่อไปเรื่อยๆ ตรงนี้เป็นช่วงที่เชื่อมต่ออาคารพร้อมรูปปั้นนักบุญต่าง ๆ วิวเมืองเชสกี้ คลุมลอฟ หลังคาสีส้มทั้งเมือง ยิ่งมาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีแข่งกันส้มเลยค่ะ
ถ่ายผ่านช่องกำแพง มีหลายช่องนะคะ แต่ทุกช่องก็จะมีนักท่องเที่ยวจับจองเพื่อเก็บภาพสวยๆ เหมือนกัน
อีกมุมจุดชมวิวที่นักท่องเที่ยวแน่นตลอด ใจร่ม ๆ รอคิวนะคะ เดี๋ยวก็ถึงตาเรา
ถ้าใครยังไม่หมดแรง เดินต่อไปเรื่อย ๆ จะเจอกับสวนสวยด้านบน ทั้งหมดที่เดินมานี่ถ้าไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าชมปราสาทก็เดินชมได้ฟรีค่ะ
สวนสวย ๆ ดอกไม้เปลี่ยนสีกันหมดแล้ว
เดินย้อนกลับมาทางเดิมผ่าน Red gate แล้วเลี้ยวขวาไปทางที่เราเดินขามา มีร้านพิซซ่าอร่อย Pizzeria Latrán ตรงข้ามกับร้านบาจา ไปทานกันค่ะเมืองนี้มีของ handmade ของตกแต่งบ้าน กระจุกกระจิกมากมาย แค่หน้าร้านก็สวยแล้ววว
เดินไปดูปราสาทจากวิวข้างล่างบ้าง
กลับไปวนเวียนแถวจัตุรัสกันต่อค่ะ
ร้านขายดอกไม้แห้ง กลิ่นลาเวนเดอร์หอมชื่นจายยยย คนขายก็น่ารัก แม้จะคุยกันไม่รู้เรื่องแต่ก็แทบจะเหมาเค้ามาทั้งร้านเลย
ได้เวลาอันสมควร รถ ckshuttle ก็มารับเราไปส่งที่สนามบินเวียนนา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 03.30 ชม. ถึงสนามบินแล้วไปที่เคาเตอร์สายการบิน เช็คอินกันก่อน เจ้าหน้าที่จะถามว่าในกระเป๋าที่โหลดมีของต้องทำ VAT Refund มั้ย ถ้าไม่มี ก็โหลดไปโลดค่ะ ถ้ามีหลังจากติด tag กระเป๋าแล้ว ยกลงมา ไปที่ที่เคาเตอร์ที่ทำเรื่องคืนภาษี ยื่นเอกสารแล้วก็โหลดกระเป๋าใหญ่ตรงนั้น แต่ถ้าของโหลดอยู่ในกระเป๋าใบเล็กที่จะลากขึ้นเครื่อง ก็โหลดกระเป๋าใหญ่ตามขั้นตอนปกติ หลังจากนั้นก็ผ่าน Passport Control จะเจอเคาเตอร์ด้านใน เพื่อประทับตราเอกสาร ทั้ง 2 กรณี ถ้าขอคืนเป็นเงินสด ต้องไปที่เคาเตอร์ Interchange แต่ถ้าขอรับเงินคืนเข้าบัตรเครดิตก็ย่อนที่ตู้ Global Blue หรือ Premier tax ได้เลยค่ะ *ขั้นตอนการขอคืนภาษีที่สนามบินอาจมีการเปลี่ยนแปลง เช็คอีกครั้งก่อนเดินทางนะคะขอบคุณที่ติดตามอ่านกันค่ะ เส้นทางแสนสวย ถ่ายรูปสวย ใช้มือถือถ่ายยังสวยได้ อาหารอร่อย ค่าครองชีพยังไม่สูงมาก พลาดไม่ได้นะคะ แล้วพบกับรีวิวอื่นได้เร็ว ๆ นี้ค่ะ
บทความส่งท้าย
1. สายการบิน : การเดินทางไปกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก ออสเตรีย เชค ฮังการี หรือยาวไปถึงมิวนิคแบบเรา เลือกที่จะเข้าออกเวียนนา หรือมิวนิค น่าจะดีกว่า ถ้าเข้าออกเวียนนา มี 3 สายการบินที่บินตรงให้เลือกค่ะ :
A. EVA Air : ราคาโปรถูกตลอดปี แต่ควรจองล่วงหน้าเนิ่น ๆ เพราะยิ่งใกล้วันเดินทางราคาก็จะยิ่งสูงขึ้นโดยเฉพาะใครวางแผนเดินทางช่วงเทศกาล ปิดเทอมเดือนเมษายน ตุลาคม หรือว้นหยุดยาว เวลาบินก็ดีค่ะ ถึงสนามบินเวียนนาตอนเช้า ขากลับก็เป็นเที่ยวบินออกประมาณ 18.30 ยังมีเวลาเที่ยวได้อีกเกือบวัน
B. Austrian airline : เวลาบินก็ดีอยู่ค่ะ ถึงเวียนนาเช้า ขาออกเป็นช่วงค่ำ แต่สายการบินยุโรป ต้องเช็คเงื่อนไขดี ๆ ทั้งค่ากระเป๋า ค่าจองที่นั่งล่วงหน้ามีเพิ่มอีกขาละ 25 ยูโรต่อคน ไปกลับ 50 ยูโร (ค่าธรรมเนียมอาจเปลี่ยนแปลงได้นะคะ ก่อนจองอ่านดูดี ๆ ) หรือถ้าไม่อยากเสียค่าจองที่นั่งก็ลุ้นได้หน้าเคาเตอร์ตอนเช็คอิน ไม่ผิดกฎอันใด
C. การบินไทย (TG) เหมาะกับคนที่สะสม R.O.P ขาไปเวลาดี แต่ขากลับเวลาออกจากเวียนนาประมาณ 14.00 เร็วไปนิด หรือถ้าเลือกเข้าออกมิวนิค ก็การบินไทย รักคุณเท่าฟ้า บินตรง สบาย ๆ แต่ขากลับก็ออกเร็วเหมือนกันค่ะประมาณ 14.30 น.
D. สายตะวันออกกลาง (อันนี้ต้องแวะเปลี่ยนเครื่อง 1 ครั้ง) เช่น Emirates, Qatar airways, Etihad มีโปรออกมายั่วอยู่บ่อย ๆ แต่ถ้าเข้าออกบูดาเปสต์หรือปราก ไม่ค่อยแนะนำนะคะ เที่ยวบินน้อย เวลาต่อเครื่องไม่ค่อยสวย ราคาก็ไม่น่ารักซะเท่าไหร่
2. การเดินทาง : ถ้าเดินทางไปเองก็สามารถเดินทางด้วยรถไฟทั้งออสเตรียและเยอรมนีสะดวกมากค่ะ ยกเว้นเมืองเล็ก ๆ ที่บางครั้งอาจจะต้องต่อรถบัสเข้าไป แต่เดินทางด้วยรถสาธารณะก็ต้องระมัดระวังตัวพอสมควร เดี๋ยวนี้ในยุโรปผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่หวังดีต่อนักท่องเที่ยวก็เยอะมากขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ ส่วนที่เชค รถไฟอาจจะไม่ได้สะดวกมากนัก ส่วนมากจะเป็นรถบัสหรือไม่ก็สามารถจองรถส่วนตัวพร้อมคนขับได้ที่ –> http://www.ckshuttle.com เหมือนที่เราใช้ได้เลยค่ะ สะดวกสบาย รับ door-to-door หรือ beanshuttle แต่ควรเลือกโรงแรมกลางเมืองซักนิด จะได้ไม่ต้องปวดหัวกับการใช้รถสาธารณะอีกหรือถ้าอยากประหยัดงบลงไปอีกก็รถบัสสีเหลืองของ student agency ค่ะ ชื่อเป็นเด็กนักเรียน แต่ใคร ๆ ก็ขึ้นได้นะคะ เป็นรถบัสสาธารณะวิ่งระหว่างเมืองของประเทศเชค แต่ก็วิ่งข้ามออสเตรียและประเทศอื่น ๆ ด้วยค่ะ
3. การวางแผน : จะปวดหัวอีกนิดตอนเลือกเมืองว่าจะไปเมืองไหนดี ควรดูระยะเวลาที่เราสามารถเดินทางไปได้เป็นหลัก แล้วค่อย ๆ ดูความชอบและให้เหมาะสมกับผู้ร่วมทริปค่ะ เมืองอินส์บรูค พิพิธภัณฑ์สวาลอฟสกี้ Stubai Alps ไร่ไวน์ Loisium เมือง Melk อาจจะเป็นเมืองนอกสายตา เพราะว่านอกเส้นทาง แต่ถ้ามีเวลาพอ แนะนำว่าไม่ควรพลาดค่ะ
4. อาการการกิน : ไปยุโรป ก็หนีไม่พ้น หมู ไก่ เนื้อ แกะ แต่รสชาติอาหารจะออกเค็มนำมาก่อนเลย อันนี้ต้องเข้าใจกันก่อนว่าพ่อครัวแม่ครัวไม่ได้ทำเกลือหกนะคะ คงเหมือนคนไทยที่ชอบกินรสเผ็ด ๆ หรือ Fast food ก็มีให้เลือกเยอะอยู่ ส่วนร้านอาหารจีนสำหรับการเดินทางเส้นนี้ถือว่าหาไม่ยากค่ะ
5. ช้อปปิ้งอะไรดี : ไม่ช้อปเลยดีที่สุดค่ะ 555 แต่คงเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็น McArthurglen Outlet ก็ถือว่ามีของให้เลือกค่อนข้างเยอะ ราคาโอเคอยู่ ที่ออสเตรียก็จะมีสินค้าจากฝั่งเยอรมนีมาขายเยอะหรือไม่ก็ช็อคโกแลตสารพัดรสชาติ ขนม Manner ของออสเตรียเอง เครื่องประดับ Swarovski ส่วนที่เชค นอกจากพวกเครื่องแก้วแล้วก็มีตะไบเล็บ ครีมท้องถิ่นยี่ห้อ Manufaktura กลิ่นหอม โดยเฉพาะกลิ่นเบียร์และไวน์ที่เป็นของขึ้นชื่อของเชคอยู่แล้ว
6. ความปลอดภัย : เดี๋ยวนี้จะเดินทางไปไหนก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ผู้คนมากหน้าแปลกตามาจากต่างถิ่นก็มากขึ้น ของมีค่าแนะนำว่าไม่ควรพกไปดีที่สุดค่ะ ทำให้เราต้องคอยระวังตัวมากขึ้น พาลจะทำให้เที่ยวไม่สนุก โดยเฉพาะเวลาไปในสถานที่ท่องเที่ยวที่คนมาก ๆ ก็ต้องเพิ่มตาเราให้มากขึ้นอีกนิดนึงค่ะ
สรุปว่าเส้นทางนี้ไปกี่ทีก็ชอบค่ะ